โบรกเกอร์เห็นพ้องหนุน"ซื้อ"บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT)คาดไตรมาส 3/54 กำไรสุทธิกว่า 1,300 ล้านบาท หลังรับรู้กำไรพิเศษจากการเข้าลงทุนใน บมจ.เอสแอนด์พี กว่า 1,000 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 4/54 แนวโน้มการทำกำไรยังเติบโตต่อเนื่องโดยคาดว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมเพียงเล็กน้อย
น้ำท่วมทำให้ธุรกิจโรงแรมมีอัตราการจองห้องพักลดลงกว่าที่คาดการณ์ แต่เป็นจำนวนไม่มาก ขณะที่ธุรกิจอาหารมีการปิดสาขาของร้านที่ถูกน้ำท่วมและขาดแคลนวัตถุดิบ แต่โดยรวมไม่มีผลกระทบอย่างเป็นนัยสำคัญต่อเป้าหมายรายได้ของบริษัทในปีนี้มากนัก เนื่องจากบริษัทมีธุรกิจที่หลากหลาย และกระจายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
ส่วนล่าสุดที่บริษัทเข้าซื้อกิจการร้านสเต็ก Rips and Rumps ในประเทศออสเตรเลีย น่าจะช่วยหนุนรายได้เติบโตในอนาคต แต่ในช่วงสั้นยังไม่ได้หนุนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นร้านที่มีเพียง 6 สาขา แต่มองว่าถือเป็นการดำเนินนโยบายบริษัทในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.เอเซียพลัส ซื้อ 15.12 บล.ทิสโก้ ซื้อ 14.00 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 13.60 บล.ไอร่า ทยอยสะสม 16.50
นางสาวนวลพรรณ น้อยรัชชุกร นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ธุรกิจของ MINT ยังสร้างรายได้และกำไรเติบโตได้ต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจโรงแรมและอาหาร โดยในไตรมาส 3/54 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,330 ล้านบาท โดยเป็นการรับรู้กำไรพิเศษจากการเปลี่ยนวิธีการลงบัญชีเงินลงทุนในบริษัทเอสแอนด์พี 1,000 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงาน 331 ล้านบาท
ส่วนในไตรมาส 4/54 คาดว่าบริษัทน่าจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม ทั้งธุรกิจโรงแรม ที่มีการยกเลิกการจองห้องพักเพราะน้ำท่วมส่งผลกระทบต่อการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยของนักท่องเที่ยว ทำให้อัตราการเข้าพักโรงแรมลดลงจากที่คาดการณ์ไว้เดิม ส่วนธุรกิจอาหาร มีการปิดสาขาร้านอาหาร เนื่องจากผลกระทบจากน้ำท่วมและขาดแคลนวัตถุดิบ แต่โดยรวมแล้ว วิกฤติน้ำท่วมไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้โดยรวมของบริษัทมากนัก เนื่องจากยังส่งผลกระทบในวงจำกัด ขณะที่บริษัทมีธุรกิจที่หลากหลาย มีธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
“หากผลกระทบทางการเมืองเมื่อปีที่แล้วมีผลกระทบต่อบริษัทที่สร้างความเสียหายมากกว่า ขณะที่น้ำมีผลกระทบน้อยกว่า" นางสาวนวลพรรณ กล่าว
ส่วนการลงทุนซื้อกิจการร้านอาหารสเต็ก Rips and Rumps ในประเทศออสเตรเลีย มองว่าน่าจะช่วยหนุนรายได้ของบริษัทได้เพิ่มขึ้น แต่คงไม่มาก เนื่องจากร้านดังกล่าวมีเพียง 6 สาขา และยังสร้างรายได้ไม่มากเมื่อเทียบรายได้รวมของบริษัท แต่ถือเป็นการดำเนินนโยบายของบริษัทในการขยายธุรกิจอาหารในต่างประเทศ
ทั้งนี้ ในปี 54 ประเมินว่า บริษัทจะมียอดขายประมาณ 24,737 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,002 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 61% แม้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมก็ตาม ส่วนแนวโน้มในปี 55 มองว่าบริษัทยังสามารถเติบโตต่อเนื่องทั้งกำไรและรายได้ แต่ก็อาจมีความเสี่ยงทางธุรกิจที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องระมัดระวัง
บทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า การที่ MINT ได้เข้าซื้อกิจการทั้งหมดของเครือร้านสเต็ก Ribs and Rumbs ที่ออสตรเลีย ด้วยมูลค่าเงินลงทุน 11 ล้านออสเตรเลี่ยนดอลลาร์ (362 ล้านบาท) มีทั้งหมด 6 สาขาในออสเตรเลียและมีผลประกอบการในปี 53 ประมาณ 2.5 ล้านออสเตรเลี่ยนดอลลาร์ (80 ล้านบาท) เทียบกับกำไรของ MINT ในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ 2,140 ล้านบาท
MINT จะรับรู้รายได้ครึ่งหนึ่งของ Ribs and Rumbs หลังจากมีการรวมงบการเงินเข้ามาใน Coffee Club ในช่วงปลายปีนี้ ถึงแม้ว่าผลประกอบการของ Ribs and Rumbs จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ MINT (น้อยกว่า 5%) แต่มีความเห็นในเชิงบวกต่อการซื้อกิจการครั้ง
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมภายในประเทศยังคงกินระยะเวลาอีกสักพัก ผลกระทบต่อประมาณการผลการดำเนินงานของ MINT ในปี 54 น่าจะจำกัด โดยธุรกิจโรงแรมประเมินว่าตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมจนถึงขณะนี้ บริษัทสูญเสียรายได้จากธุรกิจโรงแรมราว 16 ล้านบาทจากการยกเลิกการเข้าพัก โดย 80% เป็นโรงแรมในกรุงเทพฯ ถึงแม้ว่าจะมีการยกเลิกการจองลง แต่บริษัทยังคงรักษาอัตราการเข้าพักที่ระดับ 60% ในปีนี้ ปัจจุบันมีเป้าหมายอัตราการเข้าพักที่ 57% และเดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของโรงแรมในกรุงเทพฯ คิดเป็น 50% ของโรงแรมในพอร์ตของ MINT
ส่วนธุรกิจอาหาร MINT ได้ทำการปิดสาขาชั่วคราวในจังหวัดที่ประสบอุทกภัย ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม MINT เสียรายได้จากธุรกิจร้านอาหาร 6.5 ล้านบาท ส่วนคลังสินค้าและวัตถุดิบในธุรกิจค้าปลีก อาทิ เสื้อผ้าและเครื่องสำอางได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยสินค้าประเภทเครื่องใช้ในบ้านได้หยุดการผลิต เนื่องจากโรงงานตั้งอยู่ในนิคมนวนคร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อยอดขาย แต่คาดว่าไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก MINT ได้กระจายสาขาไปยังร้านที่ไม่ได้รับผลกระทบแล้ว