ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์บวก 85.15 จุด ขณะตลาดจับตาสถานการณ์อิตาลี

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 8, 2011 06:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 พ.ย.) หลังจากนายเจอร์เกน สตาร์ค สมาชิกคณะกรรมการบริหารของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) แสดงความเห็นว่า ปัญหาหนี้ยุโรปจะสามารถแก้ไขได้อย่างช้าที่สุดในระยะเวลา 1 หรือ 2 ปี อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในอิตาลีและกังวลว่าปัญหาหนี้สาธารณะที่มีต้นตอมาจากกรีซจะลุกลามไปยังอิตาลี

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 85.15 จุด หรือ 0.71% แตะที่ 12,068.39 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 7.89 จุด หรือ 0.63% แตะที่ 1,261.12 จุด ดัชนี Nasdaq ปิดบวก 9.10 จุด หรือ 0.34% แตะที่ 2,695.25 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 3.4 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบโดยเฉลี่ย 1 ต่อ 1

ในช่วงเช้านั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า วิกฤตหนี้ยูโรโซนอาจลุกลามไปยังอิตาลี หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลอิตาลีพุ่งขึ้นแตะระดับ 6.57% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันจันทร์

ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวทำให้เกิดการคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า อิตาลีซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 3 ของยูโรโซนอาจจะต้องขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้หนี้ที่มีมูลค่ามหาศาล และอาจจะเป็นแรงกดดันให้นายซิลวิโอ เบอร์ลุสโคนี นายกรัฐมนตรีอิตาลีลาออกจากตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นในช่วงบ่าย หลังจากนายสตาร์ค เจ้าหน้าที่ระดับสูงและนักเศรษฐศาสตร์ของอีซีบีได้แสดงความเห็นว่า ปัญหาหนี้ยุโรปจะสามารถแก้ไขได้อย่างช้าที่สุดในระยะเวลา 1 หรือ 2 ปี แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากตลาดขาดปัจจัยชี้นำในด้านบวก นอกจากสถานการณ์ความเคลื่อนไหวในยุโรปเท่านั้น

นักลงทุนจับตาดูสถานการณ์ทางการเมืองของกรีซ หลังจากนายจอร์จ ปาปันเดรอู นายกรัฐมนตรีกรีซประกาศลาออกเมื่อวานนี้ ภายหลังจากที่พรรคสังคมนิยมของเขาและนายแอนโทนิส ซามาราส หัวหน้าพรรคนิวเดโมเครซี ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก บรรลุข้อตกลงในการจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยทั้งสองฝ่ายมีกำหนดประชุมหารือกันอีกครั้งเพื่อสรุปสัดส่วนในรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่

หุ้นแอมเจน อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยา พุ่งขึ้น 5.9% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมาที่สุดในบรรดาหุ้นบลูชิพที่คำนวณในดัชนี S&P 500 หลังจากบริษัทประกาศแผนซื้อคืนหุ้นมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้นดิช เน็ทเวิร์ค คอร์ป ซึ่งเป็นผู้ให้บริการทีวีดาวเทียม ดีดตัวขึ้น 5% หลังจากบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผล 2 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากการที่บริษัทมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น 30%

ส่วนหุ้นโฮม ดีโปท์ พุ่งขึ้น 2.6% หลังจากนักวิเคราะห์หลายคนในตลาดวอลล์สตรีทปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นโฮมดีโปท์ หุ้นเบสท์ บาย ร่วงลง 3.11% หลังจากมีข่าวว่าเบสท์ บาย ตกลงเข้าซื้อหุ้นของบริษัท คาร์โน แวร์เฮาส์ กรุ๊ป ของอังฤษ

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนก.ย. วันพฤหัสบดี กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนก.ย.และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงการคลังสหรัฐจะเปิดเผยงบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนต.ค. ส่วนวันศุกร์ รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต้นเดือนพ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ