โบรกเกอร์ต่างเห็นพ้องแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ย โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF)เห็นว่า กำไรสุทธิในปี 54 ของ TUF เติบโตโดดเด่น หรือเพิ่มขึ้น 43-59% มาที่ 4.1- 4.6 พันล้านบาทจากปีก่อนเป็นผลการเข้าซื้อกิจการ MWB ที่เห็นผลดีอย่างชัดเจนในเวลาเพียงปีเดียว บ่งบอกการเดินมาถูกทิศทาง ทำให้ไตรมาส 3/54 มีกำไรมีสถิติสูงสุด ที่ระดับ 1,561 ล้านบาท +91% yoy
แม้ว่าในไตรมาส 4/54 จะมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากไตรมาส 3/54 เนื่องจากไม่ใช่ช่วงส่งออก แต่เชื่อว่า ยอดขายในประเทศจะกระตุ้นผลประกอบการในไตรมาส 4 นี้ได้จากภาวะน้ำท่วมในขณะนี้ และทำให้กำไรเติบโตต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เห็นว่าการบริหารแบบ Aggresive ของ TUF ที่ช่วยดันให้เป็นผุ้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องอันดับ 1 ของโลกที่สามารถกวาดส่วนแบ่งตลาด และสร้างมาร์จิ้นได้สูงขึ้นแล้ว ยังจะสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ดีในอนาคตจากขนาดที่ใหญ่ขึ้น
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย บล.ซีไอเอ็มบี ซื้อ 72.00 บล.ฟิลลิป ซื้อ 68.50 บล.เคทีบี ซื้อ 67.00 บล.ธนชาต ซื้อ 67.00 บล.ซิกโก้ ซื้อ 65.00 บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 64.00 บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 63.00 บล.ทิสโก้ ซื้อ 62.00 บล.กสิกรไทย ซื้อ 59.00 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 59.00
นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า TUF มีผลกำไรสุทธิในไตรมาส 3/54 สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ตามคาด ที่รายงานกำไรสุทธิ เท่ากับ 1,561 ล้านบาท (+26%QoQ, +91%YoY) แต่คาดว่า กำไรในไตรมาส 4 ปี 54 และ ในไตรมาส 1 ปี 55 จะอ่อนตัวลงตามฤดูกาล
แต่เมื่อพิจารณาราคาขายต่อหน่วยในไตรมาส 3/54 ปรับลดลงเฉลี่ย 3% ทั้งที่ราคาวัตถุดิบยังสูงอยู่ โดยราคาทูน่ายังทรงตัวอยู่ที่ 1,800 เหรียญ/ตัน สูงกว่าปีก่อน 33% มองว่าการปรับขึ้นราคาตามวัตถุดิบทำได้ช้า
อย่างไรก็ดี ในปีนี้ได้รวมงบ กิจการ MWB ซึ่งมีมาร์จิ้นดีกว่า TUF ช่วยทำให้กำไรปีนี้โตต่อเนื่อง โดยคาดว่าปี 54 TUF จะทำกำไรสุทธิได้ 4,124 ล้านบาท เติบโต 43% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,874 ล้านบาท และ ปี 55 คาดมีกำไรสุทธิ 4,871 ล้านบาท เติบโต 18% yoy
นอกจากนี้ เห็นว่าหลังรวมกิจการ MWB จะช่วยลดต้นทุนปลาทูน่า และบริษัทจะเน้นบุกตลาดยุโรปตะวันออก
"มองว่าถ้าลงทุน longterm ก็ OK ไม่มีปัญหา แต่ถ้าซื้อใน 2 เดือนข้างหน้า ไม่อยากให้ซื้อเพราะมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องการปรับขึ้นราคาสินค้าตามราคาวัตถุดิบ"นายสิทธิเดช กล่าว
ทั้งนี้ TUF เป็นผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องอันดับ 1 ของโลก และมีการบริหารแบบ aggresive
นายปริญญ์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าววา มีมุมมองบวกกับหุ้น TUF ก่อนที่จะควบรวมกิจการ MWB ยิ่งรวมกิจการแล้วทำให้ยอดขายโตขึ้นมากและเป็นผู้นำอาหารทะเลกระป๋องของโลก
อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 54 และ ไตรมาส 1 ปี 55 จะอ่อนตัวตามฤดูกาล โดยภาพรวม 2 ไตรมาสดังกล่าวจะมีการส่งออกลดลง และคงไม่เห็นการทำลายสถิติจากไตรมาส 3 ปี 54 ที่ปรากฎ แต่คาดว่า ในไตรมาส 2 หรือ ไตรมาส 3 ปี 55 จะเห็นการทำสถิติใหม่
"เราคิดว่า เขาจะใช้ MWB มาต่อยอดต่อไป และพยายามทำ cost management ได้...เราก็ยังแนะนำให้ strongly buy อยู่"นายปริญญ์ กล่าว
ทั้งนี้ คาดว่าปี 54 จะมีกำไรสุทธิ 4,562 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59% จากปีก่อน และในปี 55 มีกำไรสุทธิ 4,882 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%
บล.ซิกโก้ คาดว่า แม้ไตรมาส 4/54 จะไม่ใช่ High Season ของการส่งออกและแนวโน้มของราคาสินค้าจะลดลง แต่จากสถานการณ์น้ำท่วม จะทำให้ยอดขายภายในประเทศเป็นส่วนเสริมผลประกอบการขึ้นมาได้ และหากมองด้านผลกระทบทางลบต่อธุรกิจนั้น โรงงานของบริษัทตั้งอยู่ใน จ.สมุทรสาคร ซึ่งยังไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติอุทกภัยมากนัก พร้อมกันนี้ทางบริษัทยังมีประกันครอบคลุมสินทรัพย์และการหยุดชะงักของกิจการอีกด้วย
"แม้ไตรมาส 4 ผลประกอบการมีแนวโน้มที่อ่อนแอลง QoQ แต่ YoY นั้นดีขึ้นซึ่งจะทำให้ภาพรวมกำไรสุทธิของทั้งปีนั้นสูงถึง 51.9% และจากการที่บริษัทสามารถรักษาการเติบโตของกำไรและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจได้ดีเสมอมา กอปรลักษณะของธุรกิจอาหารซึ่งมีพื้นฐานที่ดีไม่ได้รับผลกระทบด้านลบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก เราจึงแนะนำ"ซื้อ"บทวิเคราะห์ ระบุ