อย่างไรก็ตาม นายชนินท์กล่าวว่า หากพิจารณาเฉพาะกำไรสุทธิจากการดำเนินงานแล้ว กำไรสุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาได้ปรับตัวสูงขึ้นจำนวน 2,607 ล้านบาท หรือร้อยละ 163 จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้า เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจถ่านหิน นอกจากนี้ หากเทียบกับไตรมาส 2 ของปีนี้ กำไรสุทธิของไตรมาส 3/2554 ปรับเพิ่มขึ้น 1,047 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปีนี้ร้อยละ 33
ส่วนรายได้จากการขายรวมในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มีจำนวน 30,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16, 997 ล้านบาท หรือร้อยละ 124 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้เป็นผลจากปริมาณขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้นเป็น 10.94 ล้านตัน จาก 5.05 ล้านตันในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 117 ในขณะที่ราคาขายถ่านหินในไตรมาสนี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยราคาขายเฉลี่ยถ่านหินของเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียอยู่ที่ 98.99 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 จากไตรมาสเดียวกันของปี 2553 และร้อยละ 3 จากไตรมาส 2 ของปีนี้ตามลำดับ
ทั้งนี้ รายได้จากการขายถ่านหินซึ่งคิดเป็นร้อยละ 96 ของรายได้จากการขายรวมประกอบด้วยรายได้จากการจำหน่ายถ่านหินจากแหล่งผลิตในอินโดนีเซีย จำนวน 20,700 ล้านบาท ออสเตรเลียจำนวน 8,830 ล้านบาท และไทย จำนวน 8 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 3 แห่งในประเทศจีน และรายได้อื่นๆ มีจำนวน 1,147 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 ของยอดขายรวม "ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาธุรกิจถ่านหินมีอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 47 โดยธุรกิจถ่านหินอินโดนีเซียมีผลการดำเนินงานที่ราบรื่น และมีปริมาณขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยถ่านหินก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลอ่อนตัวลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซียปรับสูงขึ้นเป็นร้อยละ 51 จากร้อยละ 50 ในไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจถ่านหินในออสเตรเลียปรับสูงขึ้นเป็นร้อยละ 38 จากร้อยละ 28 ในไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้เป็นผลมาจากเครื่องจักรของเหมืองใต้ดินดำเนินการผลิตเต็มที่จึงช่วยลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลง" นายชนินท์กล่าว