นางสุธิดา สุขะนินทร์ ผู้จัดการอาวุโสแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ(BECL) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทเตรียมปรับเป้าปริมาณจราจรบนทางด่วนและรายได้ของบริษัทในปี 54 ลดลงจากเดิมที่คาดว่าปริมาณจราจรปีนี้จะโต 7% จากปีก่อน 9.4 แสนคัน/วัน และรายได้ลดลง 2% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากปีนี้บริษัทต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 60% จาก 50%
ประกอบกับบริษัทได้รับผลกระทบน้ำท่วมในเขตกรุงเทพ และน้ำท่วมขยายพื้นที่เข้ามาในกรุงเทพชั้นใน ทำให้การใช้ทางด่วนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.เป็นต้นมา โดยปัจจุบันบริษัทยังไม่สามารถประเมินว่าเหตุการณ์น้ำท่วมจะกระทบพื้นที่ใดอีกบ้างและจะท่วมนานเท่าใด ต้องรอให้สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายจึงจะประเมินภาพทั้งหมดได้
ทั้งนี้ ในช่วง ม.ค.-ต.ค. 54 มีปริมาณจราจรเฉลี่ย 1.02 ล้านคัน/วัน เพิ่มขึ้น 5.77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้เฉลี่ยในช่วง 10 เดือนปี 54 เฉลี่ยที่ 20.29 ล้านบาท/วัน ลดลง 3.99% จากม.ค.-ต.ค.ในปี 53
ในเดือนต.ค. 54 มีปริมาณจราจร 9.03 แสนคัน/วัน ลดลง 8.8% จาก ต.ค.53 และรายได้ในเดือนต.ค.54 อยู่ที่ 17.30 ล้านบาท/วัน ลดลง 20% จากต.ค.53
"ไตรมาส 3 traffic (ปริมาณจราจร)ดีมาก แต่ตุลาคม ถ้านับรายวันจริงๆ C+ เริ่มมีผลตั้งแต่ 15 ตุลาคม น้ำรุกเข้าเมืองเรื่อยๆ แล้วก็กระทบเข้ามาทางด่วน 1 - 2 ซึ่งอยู่ในเมือง ...เราไม่รู้ผลกระทบแค่ไหน และนานแค่ไหน ตัวที่ชี้ได้อยู่ที่วันเปิดเทอม" นางสุธิดา กล่าว
ทั้งนี้ ทางด่วน C+ บริษัทได้ปิดทางลงไป 3 ด่าน ได้แก่ บางปะอิน-เชียงราก-บางพูน
อย่างไรก็ตาม จากที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติยกเว้นการเก็บเงินค่าผ่านทางด่วน คือ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษอุดรรัถยา ตั้งแต่วันที่ 9 - 20 พ.ย.54 และรัฐชดเชยรายไก้แก่บริษัท และ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ ซึ่งเป็นบริษัทย่อย วงเงิน 184 ล้านบาทนั้น ช่วยทำให้บริษัทพอมีรายได้บ้าง หลังจากที่เกิดภาวะน้ำท่วมไม่มีรถใช้ทางด่วน แต่เมื่อเปิดให้ใช้ฟรีก็ถือว่าทุกฝ่ายได้ประโยชน์
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ในกลางปีหน้า เพื่อนำเงินไปรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอน จำนวนเงิน 1,895 ล้านบาท