นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.มิลล์คอนสตีลอินดัส (MILL) เชื่อว่า แนวโน้มผลประกอบการในปี 55 ว่าน่าจะโดดเด่นมากกว่าปี 54 อย่างมาก โดยจะสามารถรับรู้รายได้อย่างเต็มที่ เพราะ Green MILL เป็นโครงการที่สร้างขึ้นมาเพื่อผลิต billet ทั้งระดับ commercial grade ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเหล็กเส้น เหล็กข้ออ้อย และ billet ระดับ special grade เพื่อสร้างสินค้าที่เป็น high value added ซึ่งจะผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันจะทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มบริษัทในปี 55 เพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยคาดว่าน่าจะขยับขึ้นเป็นระดับ10-15% จากปีนี้อยู่ที่ระดับ5%
ส่วนแนวโน้มความต้องการใช้เหล็กในปี 55 คาดว่าน่าจะขยายตัวตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ซึ่งทันทีที่การขับเคลื่อนโครงการเมกะโปรเจ็กต่างๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะการเร่งฟื้นฟู ซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างหลังสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ น่าจะทำให้มีความต้องการใช้เหล็กเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการในงวด 9 เดือนปี 54 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 54 ยังสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง 165.34 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 50.98 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันในปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 109.51 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 3/54 มีผลขาดทุนสุทธิ 93.48 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 3/53 ที่มีกำไรสุทธิ 44.06 ล้านบาท ขณะที่ อัตรากำไรก่อนภาษี (EBITDA) งวด 9 เดือนปีนี้อยู่ที่ 533.58 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 56.53 จากงวดเดียวกันในปีก่อนอยู่ที่ 340.87 ล้านบาท
สำหรับรายได้รวมของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 3/54 เพิ่มขึ้นเป็น 3,862.00 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนที่ทำได้ 2,389.69 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 1,472.31ล้านบาท จากการที่บริษัทได้ขยายฐานการตลาดเป็นผลทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามในงวด 3 เดือนผลประกอบการพลิกเป็นขาดทุนเกิดจากการที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการบริหาร ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมธนาคารที่เกิดขึ้นในโครงการ Green MILL เพิ่มสูงขึ้น แต่คาดว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ จะลดลงเมื่อโครงการ Green MILL เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ภายในเดือน ม.ค.55
นายธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ MILL กล่าวเสริมว่าเนื่องจากขณะนี้โครงการ Green MILL มีความคืบหน้ามากกว่าร้อยละ 90 และคาดว่าจะเริ่มทดลองเดินเครื่องและทดสอบระบบได้ในช่วงปลายปีนี้ ทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น อันเนื่องจากต้องรับพนักงาน ผู้เชี่ยวชาญ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อเข้ามาดำเนินงานก่อน
อย่างไรก็ตามคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการทดสอบระบบไม่นานนักก็จะสามารถผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ต้นปี 2555 ซึ่งรายได้ที่จะเกิดจากโครงการ Green MILL จะสามารถรับรู้อย่างเต็มที่ในปี 55 และจะเป็นปัจจัยผลักดันให้ผลประกอบการในปีหน้าของกลุ่มบริษัทขยายตัวอย่างโดดเด่น
“ในส่วนของผลประกอบในไตรมาส 3/54 ที่พลิกเป็นขาดทุนนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกและเป็นเรื่องธรรมดาของธุรกิจ เนื่องจากโครงการ Green MILL ในขณะนี้ใกล้ที่จะ Start แล้วจึงมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะอยู่เป็นช่วงของการวางระบบและเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ซึ่งบริษัทจะต้องรับพนักงานเข้ามาไว้ก่อนเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานก่อนที่จะเปิด test run ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถสร้างรายได้ อย่างไรก็ตามเราคาดว่าจะใช้เวลาในการทดสอบระบบในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น และคาดว่าประมาณต้นปี 2555 จะสามารถผลิตเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้อย่างแน่นอน ซึ่งจะมีการรับรู้รายได้จากโครงการ Green MILL ในปีนี้ไม่มากนัก แต่จะไปรับรู้เต็มๆในปี 2555 "