นายปิยะ จงวัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บมจ.พัฒน์กล (PATKL) กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ภายในอีก 1-2 เดือน แม้จะล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมไปบ้าง เนื่องจากศาลล้มละลายกลางเลื่อนนัดพิจารณาคำสั่งในวันที่ 14 พ.ย.ออกไปก่อนจากผลกระทบสถานการณ์น้ำท่วม
ที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินการแผนฟื้นฟูกิจการเป็นผลสำเร็จแล้ว และบริษัทคาดว่าจะนำหุ้น PATKL กลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในไตรมาส 2/55 หลังจากออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ
"เรื่องอนุมัติออกจากแผนฟื้นฟู ที่จริงเราคาดว่าจะเสร็จสิ้นในสิ้นปีนี้ แต่คงต้องเลื่อนออกไป 1-2 เดือน อาจจะเป็นไตรมาสหน้า (ไตรมาส 1/55)เพราะศาลได้เลื่อนฟังคำสั่งออกไปเนื่องจากติดน้ำท่วม แต่ถ้าถามบริษัทถือว่าพร้อมทุกอย่าง มั่นใจว่าจะหลุดออกจากแผนฟื้นฟู เพราะทำตามแผนมาโดยตลอด"นายปิยะ กล่าว
นายปิยะ กล่าวว่า เมื่อออกจากแผนฟื้นฟูฯ โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทคงจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยตระกูลจงวัฒนาจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มีสัดส่วนรวมกันเกือบ 50% ขณะที่นักลงทุนรายย่อย สัดส่วนอยู่ที่ 20% ส่วนเจ้าหนี้ โดยเฉพาะธนาคารกรุงเทพ เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่จะเข้ามาถือเกือบ 10% จากการแปลงหนี้เป็นทุน ส่วนคณะผู้บริหารจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
สำหรับธุรกิจในปี 54 นายปิยะ กล่าวว่า บริษัทต้งเป้ารายได้ปี 54 ที่ 3.1 พันล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 7% จากปกติที่ 5% ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตจากทุกหน่วยธุรกิจ และจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานทั้งระบบ
"การเข้าฟื้นฟูเราไม่ได้ฟื้นฟูการเงินอย่างเดียว เราปรับปรุงตัวเองด้วยเรื่องประสิทธิภาพการทำงานต่างๆ ปฏิวัติระบบการทำงานทั้งหมดมีการอบรมบุคคลากร เปลี่ยนวิธีการทำงานต่างๆ จากเมื่อก่อนเรามีพนักงาน 1,600 คน ทำรายได้ 3 พันล้าน แต่ตอนนี้เหลือ 880 คน แต่รายได้ถึง 3 พันล้านเหมือนกัน ซึ่งปีนี้และปีที่ผ่านมา ถือว่าเรามีกำไรมากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา"นายปิยะ กล่าว
ในปี 55 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตอย่างน้อย 10% หลังปัจจุบันมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ปีหน้าแล้ว 1.6 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้จะเติบโตมากกว่า 10% ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจไทย และการเมืองในประเทศ อย่างไรก็ดี ในปีหน้าบริษัทยังไม่มีการลงทุนอะไรมากนัก แต่จะเน้นศึกษาขยายช่องทางการตลาดใหม่ และปรับปรุงประสิทธิภาพให้เสถียรขึ้น
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้มากจาก 3 ธุรกิจได้แก่ ธุรกิจเครื่องทำน้ำเย็นประมาณ 35-40%ของรายได้รวม แต่ละปีมียอดขายประมาณ 100 เครื่อง โดยลูกค้าหลักเป็นบริษัทในมาเลเซียที่มีมูลค่าการสั่งซื้อปีละกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ บริษัทได้มีแผนขยายตลาดใหม่ เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม รวมทั้ง ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะตลาดตะวันออกกลาง จะขายได้ในราคาสูงกว่าแหล่งอื่นซึ่งในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมามีคำสั่งซื้อจากตะวันออกกลางแล้วกว่า 10 เครื่อง
ธุรกิจเครื่องทำความเย็น สัดส่วน 30% บริษัทมีแผนจะขยายธุรกิจนี้ครอบคลุมตลาดอาเซียนจากปัจจุบันมีตลาดที่ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย รวมทั้ง ธุรกิจแปรรูอาหารเหลว สัดส่วน 25-30%
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะขยายตลาดต่างประเทศในทุกธุรกิจ เพื่อรองรับการค้าเสรีอาเซียน และบริษัทมีแผนเข้าไปเปิดสำนักงานขายที่อินโดนีเซียและมาเลเซียในเร็วๆนี้ นอกจากนี้บริษัทมีแผนการลงทุนในอินเดีย เพราะเห็นว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีอนาคตเติบโตอีกมาก โดยจะหาผู้ร่วมทุน
สำหรับธุรกิจเอทานอล ที่ทำให้บริษัทขาดทุนในช่วงที่ผ่านมา นายปิยะ กล่าวว่า บริษัทไม่มีแนวคิดยกเลิกธุรกิจนี้ แต่จะชะลอออกไปก่อนและหาจังหวะที่เหมาะสมในการดำเนินธุรกิจต่อไป