ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 พ.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ รวมถึงยอดค้าปลีกเดือนต.ค. และดัชนีการผลิตในรัฐนิวยอร์ก อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นในกรอบที่จำกัด เนื่องจากภาวะการซื้อขายยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 17.18 จุด หรือ 0.14% แตะที่ 12,096.16 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 6.03 จุด หรือ 0.48% ปิดที่ 1,257.81 จุด และดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 28.98 จุด หรือ 1.09% ปิดที่ 2,686.20 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่เพียง 3.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในรอบ 200 วันที่ผ่านมาที่ระดับ 4.4 พันล้านหุ้น
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้ปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงยอดค้าปลีกเดือนต.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.5% สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% เพราะได้แรงหนุนจากยอดขายในกลุ่มยานยนต์และวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถชดเชยการลดลงของยอดค้าปลีกน้ำมันเบนซินที่สถานีบริการทั่วประเทศ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะก้าวเข้าสู่ไตรมาส 4 อย่างคึกคัก
ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ดัชนีการผลิตในรัฐนิวยอร์ก (Empire State Index) เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 0.6 จุดในเดือนพ.ย. จากระดับ -8.5 ของเดือนต.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่ากิจกรรมด้านการผลิตของรัฐที่มีขนาดใหญ่อย่างนิวยอร์กนั้น เริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้ว
นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐเมื่อกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 0.3% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 4 เดือน และลดลงมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะขยับลงเพียง 0.1% เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินและสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของวิกฤตหนี้ยุโรป หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลอิตาลีดีดขึ้นไปยืนเหนือระดับ 7% อีกครั้งเมื่อวานนี้ ซึ่งต้นทุนการกู้ยืมที่สูงจนถึงระดับที่เป็นอันตรายเช่นนี้ ทำให้เกิดความกังวลว่ารัฐบาลอิตาลีอาจจะเผชิญกับภาระอันหนักหน่วงในการชำระหนี้
ส่วนผลการประมูลขายพันธบัตรของรัฐบาลอิตาลีในวันนี้ 14 พ.ย.ระบุว่า รัฐบาลอิตาลีสามารถระดมทุนจากการขายพันธบัตรได้ทั้งสิ้น 3 พันล้านยูโร แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปีพุ่งขึ้นสู่ระดับ 6.29% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่อิตาลีเข้าร่วมก่อตั้งกลุ่มยูโรโซน และสูงกว่าระดับ 5.32% ของการประมูลเมื่อเดือนที่แล้ว
ทั้งนี้ นักลงทุนกังวลว่า วิกฤตหนี้สาธารณะอาจฉุดรั้งเศรษฐกิจยุโรปให้เข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้านี้ แม้เศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัว 0.5% ในไตรมาสที่ 3 ก็ตาม
รายงานยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งของสหรัฐช่วยหนุนหุ้นกลุ่มห้างค้าปลีกทะยานขึ้นถ้วนหน้า รวมถึงหุ้นแซคส์ อิงค์ พุ่งขึ้น 1.7%
หุ้นสแตปเพิล อิงค์ ดิ่งลง 3.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น้อยเกินคาดและยังได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการปี 2554 ขณะที่หุ้นเดลล์ อิงค์ ร่วงลง 2% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น้อยเกินคาดเช่นกัน
หุ้นวอล-มาร์ท ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของสหรัฐ ร่วงลง 2.43% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาสที่ 3 ลดลง 2.9% สู่ระดับ 3.33 พันล้านดอลาร์ หรือ 97 เซนต์ต่อหุ้น เทียบกับไตรมาส 3 ปีที่แล้วที่ 3.43 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค. และธนาคารกลางสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังผลิตเดือนต.ค. วันพฤหัสบดี กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนต.ค. และกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ส่วนวันศุกร์ คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด เปิดเผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนต.ค.