(เพิ่มเติม) PREBคงเป้ารายได้ปี 54 ราว 3 พันลบ.กำไร 3หลัก,คาดปี 55 รายได้โตกว่า 10%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 16, 2011 15:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัยรัตน์ ธรรมพีร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พรีบิลท์(PREB) มั่นใจว่าผลประกอบการปี 54 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยทำรายได้แตะ 3 พันล้านบาท และกำไรสุทธิเป็นตัวเลข 3 หลัก เนื่องจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ส่งผลกระทบต่อบริษัทไม่มากนัก ขณะที่คาดว่าหลังน้ำลดธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะได้รับประโยชน์จากการซ่อมแซมอาคาร บ้านเรือน และโรงงานต่างๆที่ถูกน้ำท่วม

ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้รับงานซ่อมแซมโรงงานที่ถูกน้ำท่วมจากลูกค้าแล้ว 5 โรงงาน มูลค่ารวมกันกว่า 100 ล้านบาท และบริษัทอยู่ระหว่างรอการประมูลงานรับเหมาก่อสร้างรวมกว่า 2 พันล้านบาท

บริษัทตั้งเป้าหมายปี 55 รายได้จะเติบโตขั้นต่ำ 10% ขณะนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์อีก 4-5 โครงการ เน้นคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า และตั้งงบซื้อที่ดินในปีหน้าไว้ 1 พันล้านบาท ซึ่งจากผลกระทบงเหตุการณ์น้ำท่วมทำให้บริษัท บิลท์แลนด์ ต้องเลื่อนเปิดตัวโครงการทาวน์โฮม เดอะ เทมโป ทาวน์ รัตนาธิเบศร์-ไทรม้า ออกเป็นช่วงเดือน ม.ค.55 จากแผนเดิมในเดือนพ.ย.นี้ เนื่องจากบริษัทเตรียมปรับพื้นที่โครงการให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันน้ำท่วม

นายชัยรัตน์ กล่าวว่า ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้แล้ว 2.49 พันล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 88 ล้านบาท แม้ว่าการทยอยรับรู้รายได้งานรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางโครงการจะต้องชะลอออกไปจากผลกระทบน้ำท่วมครั้งใหญ่ รวมทั้งการชะลอรับงานมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/54 ที่ผ่านมาเพื่อรอความชัดเจนเรื่องนโยบายค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล ประกอบกับราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้

แต่บริษัทมั่นใจว่าปัจจัยต่างๆนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในภาพรวม โดยขณะนี้บริษัทมียอดมูลค่างานรับเหมาก่อสร้างคงค้างในมือ (backlog) 2.48 พันล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/54 ขั้นต่ำ 500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 55

"หลังน้ำลดพฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนไป คนจะอยากอยู่คอนโดฯมากขึ้น ตลาดคอนโดฯจะกลับมาบูม แนวราบจะ drop ลง และในแง่ของ developer ก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน จะมีวิธีการคิดการสร้างบ้านแบบใหม่ๆเพื่อป้องกันน้ำท่วม แตคิดว่าหลังน้ำลดธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะมาแน่ทั้งการซ่อมแซมและสร้างใหม่"นายชัยรัตน์ กล่าว

ล่าสุด บริษัทได้รับงานซ่อมแซมโรงงานของลูกค้าเดิมที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆทั้งโรจนะ นวนคร และบางปะอิน ที่ถูกน้ำท่วมรวม 5 โรงงาน คิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นโรงงานชาเขียวอิชิตัน โดยขณะนี้ลูกค้าหลายรายก็ต้องการที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบโรงงานเพื่อป้องกันน้ำท่วม เช่น การย้ายสายการผลิตขึ้นไปไว้บนชั้น 2 ของตัวอาคารโรงงาน

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเข้าประมูลงานรับเหมาก่อสร้างมูลค่ารวมกันกว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งมีทั้งโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูงที่พัทยา, อาคารสำนักงานกลางเมือง และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ หลังจากบริษัทได้รับงานสร้างอาคารสำนักงานของบมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง(RATCH) ที่ถนนงามวงศ์วาน มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท

นายชัยรัตน์ กล่าวว่า ผลกระทบของเหตุการณ์น้ำท่วมที่มีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของโครงการแนวราบกำลังซื้อและการลงทุนใหม่ของผู้ประกอบการจะชะลอตัวลงไปอีกอย่างน้อย 1-2 ไตรมาส ขณะที่โครงการแนวสูงประเภทอาคารชุดและคอนโดมิเนียมที่กำลังซบเซาก็จะกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง เป็นผลจากความวิตกกังวลสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต ส่งผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยแนวราบ ขณะที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการแนวราบคงต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้างเพื่อป้องกันน้ำท่วม และอาจจะชะลอการลงทุนใหม่ๆ

ในส่วนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาจจะชะลอตัวในช่วง 2-3 เดือนนี้ เนื่องจากจะต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้างเพิ่มเติมเพื่อรองรับปัญหาน้ำท่วมในอนาคต แต่เชื่อว่าจะมีความต้องการซ่อมแซมอาคาร สำนักงาน โรงงานต่างๆหลังน้ำลดเข้ามาช่วยชดเชยได้ และคาดว่าหลังน้ำลดราคาวัสดุก่อสร้างต่างๆจะปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 10% ซึ่งอาจทำให้บริษัทต้องปรับราคาขายโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ก่อสร้างขึ้นด้วย

ขณะที่บริษัท บิลท์แลนด์ เองก็ต้องเลื่อนเปิดขายทาวน์โฮม เดอะ เทมโป ทาวน์ รัตนาธิเบศร์-ไทรม้า ซึ่งเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น จำนวน 36 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 120 ล้านบาท ออกไปเป็นช่วงเดือน ม.ค.55 จากเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งบริษัทก็มีแผนที่จะถมที่ดินโครงการให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันน้ำท่วม อย่างไรก็ตามบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถรับรู้รายได้ของโครงการดังกล่าวทั้งหมดในปี 55

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 55 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตขั้นต่ำ 10% โดยมีแผนเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์อีก 4-5 โครงการ เน้นคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า ซึ่งการก่อสร้างจะให้ความสำคัญกับการออกแบบเพื่อป้องกันน้ำท่วม โดยจะมีทั้งระบบถ่วงน้ำและปั๊มน้ำในตัวอาคาร ขณะที่โครงการแนวราบจะให้ความสำคัญเรื่องทำเลเป็นหลัก และบริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีหน้าไว้ 1 พันล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ