ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ร่วง 190.57 จุดหลังฟิทช์เตือนหนี้ยุโรปกระทบสหรัฐ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 17, 2011 06:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (16 พ.ย.) หลังจากฟิทช์ เรทติ้งส์ เตือนว่า ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐจะได้รับผลกระทบอย่างหนักหากวิกฤตหนี้ยุโรปลุกลามและไม่ได้รับการแก้ไขในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้นธนาคารรายใหญ่ รวมถึงหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลงอย่างหนัก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 190.57 จุด หรือ 1.58% ปิดที่ 11,905.59 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 20.90 จุด หรือ 1.66% ปิดที่ 1,236.91 จุด ดัชนี Nasdaq ร่วงลง 46.59 จุด หรือ 1.73% ปิดที่ 2,639.61 จุด

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงทันทีที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ เปิดเผยในรายงานว่า ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐจะได้รับผลกระทบอย่างหนักหากวิกฤตหนี้ยุโรปลุกลามออกไปไกลกว่ากรีซ ไอร์แลนด์ อิตาลี โปรตุเกส และสเปน และจะได้รับผลกระทบมากขึ้นหากวิกฤตหนี้ไม่ได้รับการแก้ไขในเวลาและวิธีการที่เหมาะสม แม้ตัวเลขความเสียหายของธนาคารอันเนื่องมาจากการลงทุนในยุโรปในขณะนี้ ยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ก็ตาม

ฟิทช์ระบุว่า ธนาคารรายใหญ่ระดับท็อปไฟฟ์ของสหรัฐมียอดเงินกู้, เงินฝาก และทรัพย์สินอื่นๆที่มีความเกี่ยวข้องกับธนาคารในฝรั่งเศสทั้งสิ้น 1.14 แสนล้านดอลลาร์ และธนาคารในฝรั่งเศสก็ถือครองพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลอิตาลีและกรีซอยู่เป็นจำนวนมาก

รายงานดังกล่าวของฟิทช์ได้ฉุดหุ้นธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ดิ่งลง 3.7% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 4.1% และหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ดิ่งลง 7.9%

กระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของวิกฤตหนี้ยุโรปยังส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลฝรั่งเศสพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.69% ในวันพุธ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ารัฐบาลฝรั่งเศสกำลังแบกภาระหนี้สินอยู่เป็นจำนวนมาก และอาจทำให้ฝรั่งเศสสูญเสียอันดับความน่าเชื่อถือ AAA ในวันข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนในระหว่างวันจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐ หดตัวลง 0.1% ในเดือนตุลาคม นับเป็นสถิติที่ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ส่งสัญญาณว่าแรงกดดันเงินเฟ้ออาจเริ่มปรับตัวลดลงแล้ว

ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐซึ่งครอบคลุมถึงผลผลิตในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ โรงงาน และสาธารณูปโภคพื้นฐาน ขยายตัว 0.7% ในเดือนตุลาคม หลังจากที่หดตัว 0.1% ในเดือนกันยายน ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า จะขยายตัวเพียง 0.4%

หุ้นเดลล์ อิงค์ ร่วงลง 3.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่าผลประกอบการของบริษัทอาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะขาดแคลนฮาร์ดไดร์ฟ ขณะที่หุ้นอเบอร์ครอมบี แอนด์ ฟิทช์ ดิ่งลง 13.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น้อยกว่าการคาดการณ์ของวอลล์สตรีท เนื่องจากต้นทุนราคาฝ้ายและสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆปรับตัวสูงขึ้น

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนต.ค. และกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ส่วนวันศุกร์ คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด เปิดเผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนต.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ