นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการขายและการตลาด กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับตัวลดลง โดยมองว่าปัญหาน้ำท่วมได้ส่งผลโดยตรงต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคการผลิต และภาคอุตสาหกรรม จึงส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย น่าจะต้องผ่อนคลายนโยบายทางการเงินด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25-0.50% จากระดับปัจจุบันที่ 3.50%
แต่อย่างไรก็ตาม หากมองในด้านผลกระทบจากวิกฤติน้ำท่วมต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ น่าจะเป็นปัญหาระยะสั้น โดยคาดว่า ภายหลังปัญหาน้ำท่วมคลี่คลายลง และรัฐบาลเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อฟื้นฟูความเสียหายโดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน และใช้งบประมาณกระตุ้นการอุปโภคและบริโภคภายในประเทศ น่าจะผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นได้ในช่วงต้นปีหน้า
สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ บริษัทฯ จะยังคงเน้นเลือกลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ ที่มีความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง และมีระยะเวลาสั้นๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล และตั๋วแลกเงินของธนาคารพาณิชย์ เพื่อลดความเสี่ยงทางด้านการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร
ทั้งนี้ ในวันที่ 22 พ.ย.นี้ บริษัทฯ จะ Rollover กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 8 (ASP-ACFIXED8) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ ที่เสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยรอบการลงทุนนี้ จะพิจารณาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย และตั๋วแลกเงินธนาคารพาณิชย์ของไทย อายุประมาณ 3 เดือน โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.15% ต่อปี