บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) เป็นระดับ “A+" จาก “A" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัท ตลอดจนฐานะทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้น และการมีสถานะผู้นำในธุรกิจค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นระหว่างผู้ค้าปลีกสมัยใหม่ที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านและเศรษฐกิจในประเทศที่คาดว่าจะชะลอตัวซึ่งเป็นผลมาจากอุทกภัยที่กินพื้นที่ในบริเวณกว้างในเขตภาคกลางของประเทศ
ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" นั้นสะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลประกอบการและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ต่อไปโดยที่ยังคงอัตราการก่อหนี้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ในขณะเดียวกับที่มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
HMPRO เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าและบริการเพื่อที่อยู่อาศัยแบบครบวงจรภายใต้ชื่อ “โฮมโปร" ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทในปัจจุบันประกอบด้วย บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์(LH) (30.07%) และ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) (19.89%) บริษัทเป็นผู้จำหน่ายสินค้าและบริการเกี่ยวกับบ้านที่ครบวงจร อาทิ อุปกรณ์ปรับปรุงและซ่อมแซมบ้าน อุปกรณ์ห้องน้ำและเครื่องสุขภัณฑ์ เครื่องใช้ในครัว และเครื่องตกแต่งบ้าน บริษัทประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจด้วยการเปิดสาขาใหม่โดยเฉลี่ย 3 แห่งต่อปีมาตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการในปี 2538 ทั้งนี้ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมานิยมศูนย์ค้าปลีกสมัยใหม่มีผลดีต่อการขยายสาขาของบริษัท
ณ เดือนตุลาคม 2554 บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 44 แห่ง โดยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 19 แห่ง และในต่างจังหวัดอีก 25 แห่ง เมื่อรวมทุกสาขาแล้วบริษัทมีพื้นที่ขายทั้งหมดประมาณ 290,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าอีก 81,702 ตร.ม. ด้วยการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทมีฐานในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านที่แข็งแกร่งกระจายอยู่ในหัวเมืองใหญ่ ๆ นอกจากนี้ แผนการขยายสาขาของบริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้ายังคงมุ่งเน้นจังหวัดสำคัญ ๆ ทั่วประเทศ รวมถึงเมืองสำคัญต่าง ๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยในปี 2554 บริษัทเปิดสาขาในต่างจังหวัดรวม 4 แห่ง
ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 20,329 ล้านบาทในปี 2552 เป็น 24,073 ล้านบาทในปี 2553ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 20,672 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 19.54% จากช่วงเดียวกันของปี 2553 ทั้งนี้ การเติบโตของยอดขายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 เป็นผลจากการขยายสาขา ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการปรับปรุงรายการสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทที่เพิ่มขึ้นจาก 25.01% ในปี 2553 เป็น 25.53% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทมีสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากสินค้าที่เป็นตราสัญลักษณ์เฉพาะของบริษัท โดยสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 15.97% ของยอดขายในปี 2553 เป็น 17.90% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554
ฐานะการเงินของบริษัทว่ายังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยบริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 2,046 ล้านบาทในปี 2552 เป็น 2,644 ล้านบาทในปี 2553 และเป็น 2,241 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งของยอดขายและความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น บริษัทยังคงมีสภาพคล่องในระดับสูงจากการบริหารเงินสดที่มีประสิทธิภาพ เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2,742 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 3,642 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2554 เนื่องจากบริษัทกู้ยืมมากขึ้นเพื่อลงทุนในการเปิดสาขาใหม่และปรับปรุงสาขาเดิม อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมยังคงแข็งแกร่งที่ระดับ 69.51% ในปี 2553 และ 47.23% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554
ผลจากวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคกลางของประเทศทำให้ศูนย์กระจายสินค้าและสาขาจำนวน 6 แห่งของบริษัทต้องปิดลงชั่วคราว ศูนย์กระจายสินค้าที่อยู่ในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2554 โดยอาคารศูนย์กระจายสินค้าและสินค้าบางส่วนของบริษัทถูกน้ำท่วม อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้คาดว่าจะได้รับการคุ้มครองเป็นส่วนใหญ่จากการทำกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัท
สาขาทั้งหมดของบริษัทยังไม่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม และบริษัทได้ย้ายศูนย์กระจายสินค้าไปยังจังหวัดชลบุรีเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของร้านสาขาต่าง ๆ วิกฤตอุทกภัยในครั้งนี้จะสร้างความเสียหายต่อผลประกอบการของบริษัทในช่วงที่เกิดน้ำท่วมเนื่องจากปัญหาด้านการขนส่งและการขาดแคลนสินค้าที่ใช้สำหรับป้องกันน้ำท่วม อย่างไรก็ตาม ในระยะอันใกล้ความต้องการทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านจะมีเพิ่มขึ้นหลังจากระดับน้ำเริ่มลดลงซึ่งจะช่วยเสริมสร้างผลประกอบการของบริษัทให้ดีขึ้นในเดือนต่อๆ ไป