โบรกฯ หนุน"ซื้อ"KH น้ำท่วมไม่กระทบธุรกิจโตต่อเนื่อง-ปี 55 กำไรโดดเด่น

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 21, 2011 12:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เห็นพ้องหนุน"ซื้อ"หุ้น บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล(KH)ดำเนินธุรกิจเครือโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ มองธุรกิจเติบโตอยู่ในระดับกลางๆ โดยรายได้และกำไรเติบโตได้ดีต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอแม้ไม่ก้าวกระโดด ไตรมาส 3/54 บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังทยอยยกเลิกบริการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้ฐานลูกค้าเงินสดมีมากขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น

ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมมีโรงพยาบาลในเครือ 2 แห่งที่ถูกกกระทบ คือ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์รัตนาธิเบศน์และบางแค แต่เป็นผลกระทบแค่ในระยะสั้นไม่ได้มีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ประเมินปี 55 บริษัทน่าจะมีกำไรเติบโตโดดเด่น จากปัจจัยหนุนหลายด้าน ทั้งการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% จำนวนผู้ป่วยที่มีมากขึ้นจากโรคที่มาจากน้ำท่วม และค่าใช้จ่ายเหมารายหัวโครงการประกันสังคมที่จะเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า

          โบรกเกอร์            คำแนะนำ               ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.กรุงศรีฯ              ซื้อ                      7.18
          บล.ไอร่า                ซื้อ                      8.80
          บล.ฟิลลิป                ซื้อ                      8.30
          บล.ทรีนิตี้                ซื้อ                      8.10
          บล.ธนชาต               ซื้อ                      7.30

นายถกล บรรจงรักษ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า KH ถือเป็น บจ.ในกลุ่มโรงพยาบาลที่มีธุรกิจเติบโตในระดับกลาง แม้ไม่โดดเด่นเหมือน รพ.กรุงเทพ แต่ยังดีกว่า รพ.บำรุงราษฎร์ โดยมองธุรกิจไม่น่าจะมีความเสี่ยงมากนัก ธุรกิจ รพ.จะมีการเติบโตไม่ก้าวกระโดด แต่ยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ

ไตรมาส 3/54 บริษัทมีกำไรสุทธิ 195 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เติบโต 12% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจโรงพยาบาล ซึ่งหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจตั้งแต่ปี 53 ที่บริษัททยอยเลิกบริการโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้การเติบโตของกลุ่มลูกค้าเงินสดมีมากขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นต่อเนื่อง และในปี 55 ที่รัฐบาลมีการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% จะยิ่งสนับสนุนการเติบโตกำไรของบริษัท

สำหรับปัญหาน้ำท่วมที่กระทบโรงพยาบาล 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ และเกษมราษฎร์บางแค มองว่าเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น ไม่มีนัยสำคัญต่อรายได้ของบริษัท ดังนั้น ในปี 54 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิประมาณ 662 ล้านบาท

และปี 55 จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากถึง 31% จากปีนี้อยู่ที่ 867 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลดีต่อเนื่องหลังการยกเลิกโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้ฐานลูกค้าเงินสดเพิ่มขึ้น ประกอบกับ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% และค่าเหมาจ่ายรายหัวของโครงการประกันสังคมในปีหน้าจะปรับขึ้น 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2,526 บาท/คน/ปี

นางสาวณัฏฐ์วริน ไตรภพสกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ ออกบทวิเคราะห์ ไตรมาส 4/54 กำไรมีแนวโน้มอ่อนตัว หลังจากไตรมาส 3/54 ทำสถิติกำไรสูงสุด 195 ล้านบาท โดย KH มีสาขาที่อยู่ในพื้นที่ที่ประสบภาวะน้ำท่วม 3 แห่ง จากที่มีอยู่ทังหมด 6 แห่ง)คือ สาขาสระบุรี สาขารัตนาธิเบศร์ และสาขาบางแค

แม้ รพ.ทุกแห่งของ KH จะมีมาตรการป้องกันพื้นที่ให้บริการอย่างดี และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ ยังไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ทำให้ยังสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ แต่ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ป่วยเดินทางเข้ามารับการรักษาลำบาก จึงคาดจะส่งผลกระทบทำให้ผลประกอบการ

อย่างไรก็ตาม ผลกำไรในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 78% ของประมาณการทั้งปี เนื่องจากยึดหลักอนุรักษ์นิยมอยู่แล้ว ดังนั้น จึงคาดทั้งปี 54 บริษัทจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 657 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน

ส่วนปี 55 คาดกำไรจะกลับมาเติบโตโดดเด่นถึง 16% จากปีนี้ โดยมีปัจจัยหนุน คือ ไตรมาส 1/55 คาดจะมีผู้ป่วยมาใช้บริการเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะโรคที่มากับน้ำท่วม เช่น ไข้หวัด น้ำกัดเท้า ฉี่หนู และท้องร่วง นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนผู้ป่วยกลุ่มเงินสดซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ด้วยการออกแพคเกจหลากหลาย และปรับปรุงห้องพักผู้ป่วยใหม่

รวมทั้งยังมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้นในบริษัทย่อย(ศรีบุรินทร์การแพทย์ และ รพ. รัตนาธิเบศร์)เพิ่มขึ้น หลังจากทยอยเข้าถือหุ้นมากขึ้นตั้งแต่ครึ่งแรกปี 54 และการได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการภาครัฐที่จะมีการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เป็น 23%

การเติบโตข้างต้นยังไม่รวมผลบวกจากการที่ค่าเหมาจ่ายในโครงการประกันสังคมในปี 55 มีโอกาสสูงที่จะปรับขึ้นราว 20% จากปัจจุบัน เป็น 2,526 บาท/คน/ปี คาดว่าจะทราบผลพิจารณาในช่วงต้นปี 55 โดย KH มีรายได้จากประกันสังคมคิดเป็น 28% ของรายได้ค่ารักษารวม ดังนั้น บล.ทรีนิตี้ คงแนะนำ"ซื้อ" จากศักยภาพการเติบโตที่จะกลับมาโดดเด่นตั้งแต่ปี 55 เป็นต้นไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ