บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW)คาดว่าจะสามารถกำหนดช่วงราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)ได้ในปลายสัปดาห์นี้ และน่าจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai)ในช่วงกลางเดือน ธ.ค.54
ทั้งนี้ CHOW จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 200 ล้านหุ้น โดยบริษัทฯเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาวสำหรับนำไปแปรรูปเป็นเหล็กเพื่อการก่อสร้างได้หลายชนิด เช่น เหล็กเส้นกลม (Round Bar) และเหล็กข้ออ้อย (Deformed Bar) ซึ่งจะนำไปใช้เป็นวัสดุก่อสร้างหลักในอุตสาหกรรมการก่อสร้างต่างๆ โดยมีกำลังการผลิตสูงสุด 730,000 ตัน/ปี
นายโชคชัย ศรีเสวกกาญจน กรรมการ บริษัท ทริปเปิ้ล เอ พลัส แอดไวเซอรี่ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW)เปิดเผยว่า จะสามารถกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)ของบมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำนวน 200 ล้านหุ้น ได้ภายในปลายสัปดาห์นี้ และหุ้น IPO ดังกล่าวจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai) ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 54 โดยขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)อยู่ระหว่างการพิจารณาแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)
ทั้งนี้ คาดว่าภายหลังหุ้น IPO เข้าทำการซื้อขายแล้ว จะทำให้สัดส่วนอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E) ของบริษัทลดลงเหลือประมาณกว่า 1 เท่า จาก ณ สิ้นเดือนก.ย.ที่ 2.69 เท่า ขณะที่สัดส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีตระกูล จิรธรรมศิริ ถือหุ้นรวมกัน 84.5% จะลดลงเหลือ 63.4%
"คิดว่าภาวะตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้คงเคลื่อนไหวไซต์เวย์ แต่เราขอดูที่ fundamental เป็นหลัก คือตอนนี้ fundamental แข็งแกร่ง ภาวะตลาดก็คงจะ effect ไม่มาก...การที่เราเข้า mai ด้วย market cap. ของเราก็ต้องการที่จะเป็น top 5 ใน mai ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจ ก็ขอ enjoy ใน mai ไปก่อน ซึ่งตอนนี้ก็มีกองทุนจากหลายสัญชาติอยากเข้ามาถือ แต่ยังไม่ได้กำหนดสัดส่วนชัดเจน ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างพิจารณาเรื่อง discount ก็อยากให้ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย คงประมาณ 2 double digits"นายโชคชัย กล่าว
ด้านนายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW) กล่าวว่า เงินที่จะได้รับจากการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต รวมทั้งจะช่วยลดต้นทุนในส่วนของการผลิตต่างๆ ซึ่งสำหรับภาพรวมผลประกอบการในปี 54 บริษัทคาดว่ารายได้จะเกิน 5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 53 ที่มีรายได้ 3.89 พันล้านบาท หลังในช่วง 9 เดือนที่ผ่ามาบริษัมมีรายได้แล้ว 4.25 พันล้านบาท ซึ่งรายได้ที่เติบโตขึ้นในปีนี้ ปัจจัยหลักมาจากราคาขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาราคาขายเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และปัจจุบันราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 20 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีที่กิโลกรัมละประมาณ 18 บาท
"ตอนนี้เรามีออเดอร์เต็มไปถึงสิ้นปี ยังไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โรงงานเราอยู่ที่เขตอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่สูงก็ไม่ถูกน้ำท่วม และเราก็ไม่มีลูกค้ารายไหนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเช่นกัน"นายอนาวิล กล่าว
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 55 บริษัทคาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นแตะ 7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตตามอุตสาหกรรมเหล็กที่ยังมีความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยบริษัทคาดว่ากำลังการผลิตของบริษัทในปี 55 จะเพิ่มขึ้น 20% เป็น 3.4-3.6 แสนตันต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตเต็มที่ที่ 4.5 แสนตันต่อปี โดยปัจจุบันบริษัทมีนโยบายให้ดำเนินการผลิตในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำ (Off-Peak Period) ตั้งแต่ 22.00-09.00 น. ซึ่งจะช่วยทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิตของบริษัทฯ ต่ำกว่าการดำเนินการผลิตในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง (Peak Period) แต่ถ้ารวมกำลังการผลิตทั้งในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำและความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง บริษัทจะมีกำลังการผลิตทั้งหมดที่ 7.3 แสนตันต่อปี
"ปีนี้เราใช้กำลังการผลิต 60% หรือ 2.8-3 แสนตันต่อปี จาก 4.5 แสนตัน ซึ่งเป็นกำลังการผลิตทั้งหมดในช่วงที่มีการต้องการใช้ไฟ้ต่ำ ซึ่งปีหน้าคาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้น 20% เป็น 3.4-3.6 แสนตันต่อปี ตาม demand ที่สูงขึ้นซึ่งการที่เราผลิตได้มากขึ้นจะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง"นายอนาวิล กล่าว