(เพิ่มเติม1) CHOW คาดสรุปช่วงราคาเสนอขายหุ้น IPO ในปลายสัปดาห์นี้,เข้าเทรดกลางธ.ค.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 21, 2011 15:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทคาดว่าจะกำหนดช่วงราคาหุ้นเสนอขายหุ้นสามัญให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้นที่ 2.90-3.10 บาท/หุ้น และจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็น เอ ไอ (mai)ได้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค.นี้

ทั้งนี้ CHOW จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 200 ล้านหุ้น โดยบริษัทฯเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาวสำหรับนำไปแปรรูปเป็นเหล็กเพื่อการก่อสร้างได้หลายชนิด เช่น เหล็กเส้นกลม (Round Bar) และเหล็กข้ออ้อย (Deformed Bar) ซึ่งจะนำไปใช้เป็นวัสดุก่อสร้างหลักในอุตสาหกรรมการก่อสร้างต่างๆ โดยมีกำลังการผลิตสูงสุด 730,000 ตัน/ปี

นายโชคชัย ศรีเสวกกาญจน กรรมการ บริษัท ทริปเปิ้ล เอ พลัส แอดไวเซอรี่ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน CHOW เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)อยู่ระหว่างการพิจารณาแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)

ภายหลังหุ้น IPO ของ CHOW เข้าทำการซื้อขายแล้ว จะทำให้สัดส่วนอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E) ของ CHOW ลดลงเหลือประมาณกว่า 1 เท่า จาก ณ สิ้นเดือนก.ย.ที่ 2.69 เท่า ขณะที่สัดส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีตระกูลจิรธรรมศิริถือหุ้นรวมกัน 84.5% จะลดลงเหลือ 63.4%

"คิดว่าภาวะตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้คงเคลื่อนไหวไซต์เวย์ แต่เราขอดูที่ fundamental เป็นหลัก คือตอนนี้ fundamental แข็งแกร่ง ภาวะตลาดก็คงจะ effect ไม่มาก...การที่เราเข้า mai ด้วย market cap. ของเราก็ต้องการที่จะเป็น top 5 ใน mai ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจ ก็ขอ enjoy ใน mai ไปก่อน ซึ่งตอนนี้ก็มีกองทุนจากหลายสัญชาติอยากเข้ามาถือ แต่ยังไม่ได้กำหนดสัดส่วนชัดเจน ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างพิจารณาเรื่อง discount ก็อยากให้ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย คงประมาณ 2 double digits"นายโชคชัย กล่าว

ขณะที่นายอนาวิล กล่าวอีกว่า เงินที่จะได้จากการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต รวมทั้งจะช่วยลดต้นทุนในส่วนของการผลิตต่างๆ

สำหรับภาพรวมผลประกอบการในปี 54 บริษัทคาดว่ารายได้จะเกิน 5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 53 ที่มีรายได้ 3.89 พันล้านบาท หลังในช่วง 9 เดือนที่ผ่ามาบริษัมมีรายได้แล้ว 4.25 พันล้านบาท ซึ่งรายได้ที่เติบโตขึ้นในปีนี้ ปัจจัยหลักมาจากราคาขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาราคาขายเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และปัจจุบันราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 20 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีที่กิโลกรัมละประมาณ 18 บาท

"ตอนนี้เรามีออเดอร์เต็มไปถึงสิ้นปี ยังไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โรงงานเราอยู่ที่เขตอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่สูงก็ไม่ถูกน้ำท่วม และเราก็ไม่มีลูกค้ารายไหนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเช่นกัน"นายอนาวิล กล่าว

ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 55 บริษัทคาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นแตะ 7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตตามอุตสาหกรรมเหล็กที่ยังมีความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยบริษัทคาดว่ากำลังการผลิตของบริษัทในปี 55 จะเพิ่มขึ้น 20% เป็น 3.4-3.6 แสนตันต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตเต็มที่ที่ 4.5 แสนตันต่อปี โดยปัจจุบันบริษัทมีนโยบายให้ดำเนินการผลิตในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำ (Off-Peak Period) ตั้งแต่ 22.00-09.00 น. ซึ่งจะช่วยทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิตของบริษัทฯ ต่ำกว่าการดำเนินการผลิตในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง (Peak Period) แต่ถ้ารวมกำลังการผลิตทั้งในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำและความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง บริษัทจะมีกำลังการผลิตทั้งหมดที่ 7.3 แสนตันต่อปี

"ปีนี้เราใช้กำลังการผลิต 60% หรือ 2.8-3 แสนตันต่อปี จาก 4.5 แสนตัน ซึ่งเป็นกำลังการผลิตทั้งหมดในช่วงที่มีการต้องการใช้ไฟ้ต่ำ ซึ่งปีหน้าคาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้น 20% เป็น 3.4-3.6 แสนตันต่อปี ตาม demand ที่สูงขึ้นซึ่งการที่เราผลิตได้มากขึ้นจะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง"นายอนาวิล กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ