นายอธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ บมจ.ไออาร์ซีพี(IRPC)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า รายได้และกำไรสุทธิในปี 55 คาดว่าจะดีกว่าในปี 54 โดยรายได้จะเติบโต 10-15% จากปี 54 ที่น่าจะทำรายได้ 2.4 แสนล้านบาท เนื่องจากในกลางปีหน้าจะมีกำลังการผลิตโพรพิลีนเพิ่มอีก 1 แสนตัน จากปัจจุบันผลิต 3.3- 3.4 แสนตัน และกำลังการกลั่นปิโตรเลียมเพิ่มเป็น 1.8 แสนบาร์เรล/วัน เพิ่มจากปี 54 ที่มีอยู่ในระดับ 1.7 แสนบาร์เรล/วัน อีกทั้งคาดว่ามาร์จิ้นทั้งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในปีหน้าจะดีขึ้นกว่าปีนี้
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมผลประกอบการในปี 54 ที่ใกล้จะจบปีแล้วมีทิศทางดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อช่วงต้นปี โดยเฉพาะเทียบกับผลประกอบการปี 53 แม้ว่าในไตรมาส 3/54 เกิดผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันและขาดทุนจากเงินลงทุน โดยในปีนี้บริษัทจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA)จากโครงการฟีนิกซ์ อยู่ที่ 2 พันล้านบาท จึงคาดว่ากำไรสุทธิจะดีกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6.2 พันล้านบาท ซึ่งงวด 9 เดือนแรกของปีบริษัทมีกำไรสุทธิแล้ว 6.3 พันล้านบาท
"ภาพรวมในปีหน้าตามประมาณการ ดีกว่าปีนี้พอสมควร ซึ่งต่างจากตอนที่เราทำประมาณปี 2011 ซึ่งแย่กว่า 2010 แต่ดีกว่าที่คาดการณ์ แต่จะดีกว่า 2010 หรือไม่ต้องรอดูตอนไตรมาส 4 แต่ตอนนี้ดีกว่าประมาณการ"นายอธิคม กล่าว
ในไตรมาส 4/54 นายอธิคม มั่นใจว่าบริษัทจะไม่มีผลขาดทุนสต็อกน้ำมันแน่นอน เนื่องจากได้ทำประกันความเสี่ยงทั้งหมดไว้แล้วถึงเดือน ธ.ค.54 ขณะนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบเริ่มปรับตัวขึ้นมาที่ 110 เหรียญ/บาร์เรล สูงกว่าไตรมาส 3/54 ที่มีราคาเฉลี่ย 100 เหรียญ/บาร์เรล และคาดว่าสิ้นปี 54 จะราคาน้ำมันดิบดูไบจะปิดที่ราคา 104-105 เหรียญ/บาร์เรล จากที่ประเมินว่าราคาเฉลี่ยที่ 100 เหรียญ/บาร์เรล
และถึงแม้จะมีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่นาน 45 วันในไตรมาส 4/54 แต่ได้ผลิตสต็อกไว้สำรองจำนวนมากก็จะทำให้ยอดขายลดลงไปประมาณ 30% ขณะที่กำลังการผลิตหายไป 50%
สำหรับปี 55 ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 104 เหรียญ/บาร์เรลในกรณีสถานการณ์ดีที่สุด(best case)โดยคาดว่าราคาน้ำมันดีเซลมีมาร์จิ้นที่ดีจากความต้องการสูงขึ้น ขณะที่น้ำมันเบนซินอาจจะมีมาร์จิ้นไม่มาก เพราะผู้บริโภคหันไปใช้พลังงานทดแทน เช่น เอทานอล จึงทำให้มาร์จิ้นเพิ่มไม่ชัดเจน
ส่วนน้ำมันเตา กลับมีราคาดีกว่าแต่ก่อน เริ่มเห็นในปลายปีนี้ที่มีมาร์จิ้นดีขึ้น เป็นเพราะจากเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่น ทำให้กลับมาใช้น้ำมันเตากำมะถันต่ำมากขึ้น เพราะสามารถผ่านกระบวนการผลิตออกมาเป็นดีเซลได้ สำหรับปิโตรเคมี IRPC เน้นหนักผลิตภัณฑ์ โพรพิลีน และ เอบีเอส ซึ่งแนวโน้มมีราคาดีขึ้น โดยเฉพาะช่วงน้ำลดจะมีความต้องการเม็ดพลาสติกมากอย่างรวดเร็วเพื่อมาผลิตอุปกรณ์ต่างๆ ได้แก่ ท่อพลาสติก เป็นต้น ส่วนเอบีเอส ก็สามารถนำมาเป็นส่วนผสมผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
ขณะเดียวกันบริษัทได้พยายามกระจายฐานลูกค้าต่างประเทศหลากหลายมากขึ้น โดยในไตรมาส 4/54 ได้เข้าไปเริ่มทำการตลาดในยุโรปตะวันออก และประเทศในแถบอเมริกาใต้ เช่น บราซิล เป็นต้น จากที่ต้องพึ่งพิงตลาดยุโรปและอเมริกาเป็นหลัก เพื่อกระจายความเสี่ยง เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจทั้งสองทวีปไม่ค่อยดีนัก
อนึ่ง IRPC มีสัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศ 60% ส่วนตลาดส่งออกมีสัดส่วน 40% ขณะที่รายได้จากโรงกลั่นมีสัดส่วน 65% ของรายได้รวม และรายได้จากปิโตรเคมี 35%
*ทุ่มงบลงทุน 7 หมื่นลบ.ในช่วง 5 ปี
กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทเพิ่งอนุมัติการทบทวนงบลงทุนตามแผน 5 ปี ในช่วงปี 55-59 มูลค่ารวม 7 หมื่นล้านบาท รวมงบลงทุนในโครงการฟีนิกซ์ด้วย มีทั้งเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิต โดยจะเน้นการปรับปรุงคุณภาพมากกว่าและได้กำลังการผลิตโพรพิลีนเพิ่มขึ้น
"โครงการฟีนิกซ์ ลงทุนหนักๆเข้ามาเยอะในปี 2015 (หรือปี 58) มีโครงการที่เราลงทุนเยอะ แต่เราลงทุนขยายกำลังการผลิตจะแล้วเสร็จในช่วงปลาย 2014 และ ต้นปี 2015 ฉะนั้นจะเริ่มรับรู้รายได้มากในปี 2015 ที่จะเห็นยอดขาย มาร์จิ้นที่ดีขึ้น"นายอธิคมกล่าว
ระหว่างนี้จนถึงปี 57 โครงการลงทุนต่างๆจะทยอยเดินหน้าไป เช่นปีหน้าโครงการขยายกำลังการผลิตโพรพิลีน เพิ่มมาอีก 1 แสนตันจะแล้วเสร็จประมาณ เดือน มิ.ย.55 จากปัจจุบันมี 3.4-3.4 แสนตัน เพิ่มเป็น 4.3-4.4 แสนตัน ดังนั้น ในกลางปีหน้า จะเห็นตัวเลขทำให้ประมาณการรายได้ปีนี้ดีกว่าเพราะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 30% และในปี 58 กำลังการผลิตโพรพิลีนก็จะเพิ่มเป็นเท่าตัว
IRPC ได้เริ่มลงทุนตามโครงการฟีนิกซ์ มูลค่าราว 1.3 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งเป็นโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการกลั่น โดยเป็นการการลงทุนในโครงการต่างๆ ที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์