ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (25 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของวิกฤตหนี้ยุโรป หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของพันธบัตรรัฐบาลเบลเยียม ลง 1 ขั้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลอิตาลีพุ่งขึ้นในการประมูลล่าสุดเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ภาวะการซื้อขายในวัน "แบล็ค ฟรายเดย์" กลายเป็นวันที่ซบเซา และยังทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 25.77 จุด หรือ 0.23% แตะที่ 11,231.78 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 3.12 จุด หรือ 0.27% แตะที่ 1,158.67 จุด ดัชนี Nasdaq ปิดลบ 18.57 จุด หรือ 0.75% แตะที่ 2,441.51 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่เพียง 1.6 พันล้านหุ้น ซึ่งน้อยกว่าระดับเฉลี่ยของแต่ละวันอยู่ถึงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากตลาดปิดทำการซื้อขายเร็วกว่าปกติในวัน "แบล็ค ฟรายเดย์" หรือวันศุกร์หลังวันขอบคุณพระเจ้า
โดยปกติแล้วตลาดหุ้นนิวยอร์กมักจะทะยานขึ้นแข็งแกร่งในวันแบล็ค ฟรายเดย์ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มค้าปลีก เนื่องจากเป็นวันที่ชาวอเมริกันเริ่มออกไปจับจ่ายซื้อของตามห้างสรรพสินค้า แต่วันแบล็ค ฟรายเดย์ในปีนี้ถูกบดบังด้วยกระแสความวิตกกังวลเรื่องวิกฤตหนี้ยุโรป โดยล่าสุดเอสแอนด์พีประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของพันธบัตรรัฐบาลเบลเยียม ลง 1 ขั้น สู่ระดับ AA จากระดับ AA+ โดยให้แนวโน้มเป็น "เชิงลบ" เนื่องจากหนี้สินที่อยู่ในระดับสูงของรัฐบาลกำลังบั่นทอนศักยภาพในการระดมทุนของทั้งภาครัฐและภาคธนาคาร
เบลเยียมถือเป็นประเทศยูโรโซนรายล่าสุดที่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งเกิดขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของโปรตุเกสลง 1 ขั้น สู่ระดับ BB+ หรือ "ระดับขยะ" จากระดับ BBB- และมูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือพันธบัตรของรัฐบาลฮังการี ลง 1 ขั้น สู่ระดับ Ba1 จากระดับ Baa3 พร้อมกับคงแนวโน้มความน่าเชื่อถืออยู่ที่ "เชิงลบ"
กระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของวิกฤตหนี้ยุโรปทวีความรุนแรงขึ้นเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีของรัฐบาลอิตาลีพุ่งขึ้นแตะระดับ 7.814% ในการประมูลที่สามารถระดมทุนได้ 2 พันล้านยูโรเมื่อวานนี้ ซึ่งอัตราผลตอบแทนดังกล่าวสูงกว่าระดับ 4.628% ในการประมูลครั้งก่อน และถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการใช้สกุลเงินยูโรเมื่อปี 2542 ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่สูงเช่นนี้บ่งชี้ว่า รัฐบาลชุดใหม่ของอิตาลีภายใต้การนำของนายมาริโอ มอนติ กำลังเผชิญกับภาระหนี้สินมูลค่ามหาศาล
หุ้นเชฟรอน ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของสหรัฐร่วงลง 1.6% ขณะที่หุ้นฮิวเล็ต-แพคการ์ด (HP) ดิ่งลง 1.5%
ส่วนหุ้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกปรับตัวผันผวน โดยหุ้นเซียร์ โฮลดิงส์ ร่วงลง 1.3% หุ้นวอล-มาร์ท ขยับขึ้น 0.4% และหุ้น Amazon.com ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกออนไลน์ ดิ่งลง 3.5%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในสัปดาห์หน้า รวมถึงยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค.ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันจันทร์ ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพฤหัสบดี และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย.ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันศุกร์ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรจะเพิ่มขึ้น 117,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะอยู่ที่ 9.0% ในเดือน พ.ย. ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนต.ค.