นายมนตรี ศรีไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) เปิดเผยว่า ในปี 54 คาดว่าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จะอยู่ระดับใกล้เคียง 12% จากปีก่อนอยู่ที่ 12.77% หลังช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมามีมาร์เก็ตแชร์ฟื้นตัวดีขึ้น จากช่วงต้นปีที่ภาวะตลาดมีความผันผวนสูงทำให้มาร์เก็ตแชร์ปรับลดลง ปัจจุบันมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 11.8%
"ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมามีช็อตเซลล์และธุรกิจ SVL เข้ามาช่วยทำให้ภาวะการซื้อขายของบริษัทดีขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะต่ำกว่า 12%" นายมนตรี กล่าว
ส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจในปีนี้ คาดว่ามีรายได้ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 40-50 ล้านบาท จากผลกระทบของวิกฤตหนี้สินในยุโรปและภาวะน้ำท่วม ปัจจุบันบริษัทมีงานวาณิชธนกิจในมือ 13-20 ดีล
นายมนตรี เปิดเผยว่า เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลกระทบต่อสาขาของบริษัทในกรุงเทพ ฯ 10 สาขา ที่หยุดให้บริการชั่วคราว เช่น สาขาฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต สาขาเกษตรฯ และย้ายพนักงานมาทำงานที่สำนักงานใหญ่ แต่ขณะนี้ได้เริ่มทยอยเปิดให้บริการในสาขาตามปกติแล้ว
อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้คงจะลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนมีกำไรสุทธิที่ 800 ล้านบาท เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุนในช่วงน้ำท่วม
นายมนตรี กล่าวอีกว่า การเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น ในปี 55 คาดว่าจะทำให้การแข่งขันในธุรกิจโบรกเกอร์มีความรุนแรงมากขึ้น แต่บริษัทจะพยายามรักษาการเติบโตและจะรุกขยายฐานลูกค้าสถาบันทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น หลังมีเมย์แบงก์เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัทมากขึ้น และเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้นผ่านเครือข่ายเมย์แบงก์ รองรับการเชื่อมโยงการซื้อขายหลักทรัพย์ในภูมิภาคอาเซียน (Asian Linkage)
ขณะนี้บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าสถาบันในประเทศอยู่ที่ 4% และลูกค้าสถาบันต่างประเทศ 5% และลูกค้ารายย่อย 91% "การรวมกันระหว่างเมย์แบงก์และกิมเอ็ง เราหวังจะเป็นโบรกเกอร์ที่ 1 ในอาเซียน การมีเมย์แบงก์เข้ามาจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ คนให้เกียรติเรามากขึ้นเนื่องจากอยู่ในเครือข่ายธนาคารขนาดใหญ่ที่มีสินทรัพย์กว่า 4 ล้านล้านบาท และการที่ถูกจัดเรทติ้งสูงขึ้นทำให้กู้เงินได้ถูกลง"นายมนตรี กล่าว