ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำสัปดาห์: มีมูลค่าการซื้อขายรวม 295,017 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 28, 2011 15:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ประจำสัปดาห์ (21-25 พฤศจิกายน 2554) ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้มีมูลค่ารวม 295,017 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 59,003 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้ประมาณ 2% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 93% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 276,182 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 14,050 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 3,243 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5% และ 1% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ

สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือ รุ่น LB133A (อายุ 1.3 ปี) , LB176A (อายุ 5.6 ปี) และ LB169A (อายุ 5 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 2,577 ล้านบาท 2,472 ล้านบาท และ 1,447 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB11D13A (อายุ 14 วัน), CB11D14A (อายุ 14 วัน) และ CB11D07A (อายุ 14 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 74,650 ล้านบาท 53,243 ล้านบาท และ 21,553 ล้านบาท ตามลำดับ

ทางด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกนั้น ได้แก่หุ้นกู้ของบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (RG13DA , RG143A (AA)) มูลค่าการซื้อขาย 609 ล้านบาท และ 184 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) (PS15NA (A)) มูลค่าการซื้อขาย 553 ล้านบาท ตามลำดับ

เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงในตราสารที่มีอายุคงเหลือสั้นๆ แต่กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นในตราสารที่มีอายุคงเหลือยาว หรือโดยเฉลี่ยแล้วอัตราผลตอบแทนของตราสารที่มีอายุคงเหลือน้อยกว่า 3 ปี ปรับตัวลดลงประมาณ 3 Basis Point ในขณะที่อัตราผลตอบแทนของตราสารที่มีอายุคงเหลือมากกว่า 3 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) ทั้งนี้ภาพรวมของการซื้อขายตราสารหนี้ไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่าค่อนข้างเงียบเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านั้น เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ได้ชะลอการลงทุนออกไปเพื่อรอดดูทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยหลักที่คอยกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า กนง. น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25 — 0.5% เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศจากเหตุน้ำท่วมในครั้งนี้ ที่ได้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก แม้ว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะเพิ่มสูงขึ้นจากการกักตุนสินค้าและต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้น และอาจจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม ในขณะที่วิกฤตหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศยุโรปที่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบที่ส่งผลให้นัลงทุนต่างชาติเทขายตราสารหนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติมีมูลค่าการซื้อขายโดยรวมลดลงเมื่อเทียบกับในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิ 3,633 ล้านบาท อย่างไรก็ตามมูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่ของนักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงเน้นไปในตราสารระยะสั้น (มีอายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) เป็นหลัก และสำหรับนักลงทุนรายย่อย ที่ถึงแม้จะมีสัดส่วนของการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดค่อนข้างน้อย แต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงมียอดซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องประมาณ 3,265 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ