โบรกฯเชียร์"ซื้อ"CPF เทคฯบ.ย่อยเครือซีพีขยายฐานเดินเกมรุกตปท.เต็มตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 29, 2011 11:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          โบรกเกอร์          คำแนะนำ      ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.ฟิลลิป              ซื้อ           35.75
          บล.ทรีนิตี้              ซื้อ           45.00
          บล.ดีบีเอส             ซื้อ           42.00
          บล.ธนชาต             ซื้อ           40.00
          บล.ทิสโก้              ซื้อ           37.00
          บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง     ซื้อ           38.75
          บล.เกียรตินาคิน         ซื้อ           36.00
          บล.เคทีบี              ซื้อ           37.00
          บล.กสิกรไทย           ซื้อ           35.00

นางสาวนารี อภิเศวตกานต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) แนะ"ซื้อ"หุ้น CPF เนื่องจากเห็นว่าการเข้าซื้อหุ้น CPP ด้วยมูลค่า 66,307 ล้านบาท จำนวน 18,792 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 0.90 ดอลลาร์ฮ่องกง คิดเป็นประมาณ 3.53 บาท/หุ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนหุ้น 74.18% คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการซื้อกิจการครั้งนี้ราวปลายไตรมาส 1/55

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์พบว่าเป็นไปตามเป้าหมายของ CPF ที่ต้องการรุกลงทุนในต่างประเทศหลังจากตลาดในประเทศเริ่มอิ่มตัว จากราคาเนื่อสัตว์ที่ผันผวนและการรุกตลาดในไทยด้านอาหารแปรรูปและอาหารสำเร็จรูปเป็นหลัก ทั้งนี้ การรุกตลาดในจีนและเวียดนามถือเป็นตลาดใหญ่และสำคัญ แต่มีความกังวลว่าประเทศจีนเป็นตลาดใหญ่อุตสาหกรรมยังไม่มีแผนชัดเจนและ CPF ยังไม่เคยลงทุนเองในจีนจึงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ส่วนเวียดนามไม่น่าเป็นห่วงเพราะเดิมมีการลงทุนอยู่แล้ว

การซื้อกิจการครั้งนี้คาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มกับ CPF อีก 1.5 บาท/หุ้น เนื่องจากหลังรวมงบจาก 2 บริษัทดังกล่าวเข้ามาจะทำให้ยอดขายปี 55 เพิ่มเป็น 340,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% จากการเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากจีนและเวียดนามเป็นหลักที่ยังมีอัตราขยายตัวตามการเติบโตของ GDP

ขณะที่อัตรากำไรคาดว่าจะมีภาพไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากสัดส่วนรายได้หลักทั้งจากเวียดนามและจีนยังคงเป็นกลุ่มอาหารสัตว์เป็นหลัก แต่ทางฝ่ายกังวลถึงการแข่งขันจากจีนมากกว่าเนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์มากกว่า 70% จะอยู่ในกลุ่มที่ผสมเองตามบ้านเป็นหลัก คาดว่าในเวียดนามจะมีสัดส่วนการใช้จากการผลิตของผู้ขายมากขึ้น อีกทั้งการซื้อกิจการครั้งนี้ส่งผลให้บริษัทมีการก่อหนี้ที่มาก และทำให้ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ประมาณการกำไร สุทธิเพิ่มเป็น 22,553 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 41% เทียบ YoY

สำหรับ CPP ดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์ในจีนและถือหุ้นใน CPV เวียดนาม โดยธุรกิจหลักเป็นอาหารสัตว์บกในจีนคิดเป็น 95% ของยอดขาย ส่วนที่เหลือจำหน่ายและผลิตมอเตอร์ไซด์ คาร์บูเรเตอร์และอุปกรณ์รถยนต์ สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์จะจำหน่ายภายใต้ชื่อ"เจียไต๋"มีโรงงาน 78 แห่งใน 28 จังหวัดทั่วประเทศจีน มีกำลังการผลิตราว 9 ล้านตัน/ปี ใช้กำลังการผลิตราว 55-60%บริษัทเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์อันดับ 2 ในจีน มีส่วนแบ่งตลาดราว 4% โดย 10 อันดับใหญ่ของผู้ผลิตอาหารสัตว์มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 29% เท่านั้น

CPV ประกอบธุรกิจอาหารสัตว์ทั้งบกและน้ำครบวงจรในเวียดนาม โดยมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ทั้งอาหารสัตว์บกและน้ำ รวมถึงการเลี้ยงหมู, ไก่ และเพิ่งขยาย ฐานการผลิตในกลุ่มสัตว์น้ำ เมื่อปีที่ผ่านมา กำลังการผลิตสัตว์บก 2.3 ล้านตัน สัตว์น้ำ 0.6 ล้านตัน อาหารแปรรูป 12,000 ตัน/ปี ปัจจุบัน CPF ถือหุ้น CPV อยู่ 29.18% สัดส่วนรายได้จากกลุ่มอาหารสัตว์ (Feed) 56% เป็น อาหารสัตว์บก 80% และสัตว์น้ำ 20% กลุ่มเลี้ยงสัตว์ (Farm) 39% และอาหาร (Food) 5%

ด้าน บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้น CPF มีอัพไซต์ค่อนข้างมากหลังเข้าซื้อกิจการ C.P. Phokpand (CCP)ฮ่องกง โดยจะทำให้ CPF เป็นผู้นำในธุรกิจอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงและแปรรูปอาหารขนาดใหญ่อันดับ ต้นๆ ของโลก ทั้งนี้ การลงทุนหลักของ CPP ในจีนและเวียดนามซึ่งมีการเติบโตสูงมากในด้านความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์

แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2555 เติบโตทันทีจากการรวมงบการเงินของ CCP เข้ามา ซึ่งจะส่งผลให้รายได้รวมในปี 2555 ปรับตัวสูงขึ้นราว 53% YoY นอกจากนี้ คาดว่า EBITDA ปี 2555 ของ CPF จะปรับตัวสูงขึ้นถึง 50% YoY เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ เราคาดว่าการออกหุ้นกู้มูลค่าราว 4 หมื่นล้านบาทภายใต้สมมติฐานอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 5.5% จึงส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายในปี 2555 ของ CPF จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 2 เท่าตัว

แต่ก็ยังทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2555 เติบโตถึง 39% YoY มาสู่ระดับ 22,249 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับการเติบโตที่ก้าวกระโดดอย่างน่าประทับใจ หรือคิดเป็น EPS ปี 2555 เท่ากับ 3.03 บาท (Fully diluted) ดังนั้น หากธุรกรรมการเข้าซื้อกิจการได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นในวันที่ 18 ม.ค. 55 และคาดว่าขั้นตอนการซื้อกิจการจะแล้วเสร็จในเดือนมี.ค.55 ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ปี 2555 เท่ากับ 45 บาท อิง PER 15 เท่า

อย่างไรก็ตาม โดยปกติค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาทางการเงินในการเข้าซื้อกิจการจะคิดเป็นสัดส่วนราว 2-3% ของมูลค่ากิจการที่เข้าไปซื้อ ในดีลนี้ค่าใช้จ่ายอาจจะสูงเกิน 500 ล้านบาท (เทียบจากมูลค่าสิ่งตอบแทนที่จ่ายไป) และอาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงกดดันแนวโน้มกำไรสุทธิในช่วง 1H55 แต่คาดว่า CPF น่าจะสามารถบันทึกค่าใช้จ่ายบางส่วนเป็นสินทรัพย์ถาวรได้ ซึ่งน่าจะช่วยคลายความกังวลไปได้บ้าง ส่วนบทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุว่า เม็ดเงินที่ไปใช้ซื้อ CPP ในสัดส่วน 31.4% (20.8 พันล้านบาท) มาจากการออกหุ้นเพิ่มทุน 694 ล้านหุ้นและในสัดส่วนที่เหลือ 68.6% (45.5 พันล้านบาท) ส่วนใหญ่จะมาจากการก่อหนี้ และบางส่วนเป็นเงินสด

ข้อดีของการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้คือ CPF จะกลายเป็นอันดับหนึ่งในเอเชียในธุรกิจประเภทปศุสัตว์และธุรกิจสัตว์น้ำซึ่งดำเนินธุรกิจใน 12 ประเทศ เราคาดว่ารายได้ใน 55 จะมีสัดส่วนมาจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 50% เทียบกับปี 54 ที่ 26% หากมีสมมุติฐานว่ารายได้ของ CPP เติบโต 15% ต่อปี (รวม CPV ด้วย) ก็จะทำให้รายได้ CPF ในปี 55 เติบโต 46% เป็น 322.3 พันล้านบาท หากการควบรวมกิจการเริ่มต้น มี.ค.55 แม้ว่าค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะสูงขึ้น 1.8 พันล้านบาทต่อปี และ dilution effect ที่เกิดขึ้น 9.4%

ทั้งนี้ เราคาดว่ากำไรสุทธิต่อหุ้นปี 55 ก็ยังเติบโต 17% เป็น 2.9 บาท และกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 56 เติบโตเพิ่มเป็น 20% เป็น 3.48 บาท เมื่อมีการควบรวมกับ CPP เต็มปี และได้รับผลบวกจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของ CPP

ดังนั้น คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานกำหนดไว้ให้สูงขึ้นเป็น 42 บาท อันเป็นผลพวงจากการปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิปี 55 และ 56 ในอัตรา 17% และ 21% ตามลำดับ หลังเข้าซื้อ CPP และประเมินมูลค่าหุ้นด้วย P/E ปี 55 ที่ 14.5 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ