(เพิ่มเติม) KBANK ตั้งเป้าปี 55 ขึ้นผู้นำสินเชื่อภาคธุรกิจ คาดโตได้อีก 9%จากปีนี้ 10%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 29, 2011 14:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธนาคารกสิกรไทย(KBANK)ตั้งเป้าปี 55 ขึ้นชั้นผู้นำสินเชื่อภาคธุรกิจ(Corporate)โดยคาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวต่อเนื่องราว 9% จากปีนี้ที่น่าจะขยายตัวได้ถึง 10% ภายใต้สมมติฐานภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะฟื้นตัวมาขยายตัวราว 4.3% หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในไตรมาส 4/54 ให้ขยายตัวชะลอลงเหลือ 1.5%

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ KBANK เปิดเผยว่า ในปี 54 คาดว่าสินเชื่อรวมในกลุ่มลุกค้าธุรกิจขนาดใหญ่จะขยายตัว 10% และคาดว่ารายได้รวมโต 21% ค่าธรรมเนียมการใช้ผลิตภัณฑ์โต 22% และส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มจาก 21 เป็น 22% ในขณะที่ในปี 54 ธนาคารได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและการระดมทุน 20 โครงการ เป็นเงิน 2.2 แสนล้านบาท และเข้าร่วมการสนับสนุนเงินทุนในโครงการต่างๆ 67 โครงการ คิดเป็น 3-5 แสนล้านบาท

ขณะที่ปี 55 ธนาคารตั้งเป้าจะขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ วางเป้าหมายสินเชื่อเติบโต 9% จากปี 54 และมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 20% ค่าธรรมเนียมโต 22% มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 25%

นอกจากนั้นในปี 55 ธนาคารประเมินว่าลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่จะมีความต้องการเงินทุนทั้งหมด 1.22 ล้านล้านบาท จากปี 54 ที่มีความต้องการเงินทุน 1.2-1.5 ล้านล้านบาท โดยจะแบ่งเป็นความต้องการเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจต่อเนื่อง 4 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนขยายธุรกิจใหม่ 2.5 แสนล้านบาท จากการประเมินว่าเศรษฐกิจ ปี 55 จะขยายตัว 4.3% เป็นการลงทุนในการขยายธุรกิจระหว่างประเทศ 2-4 แสนล้านบาท และการลงทุนเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจ 1.5 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ธนาคารมีดีลในมือวงเงินรวมประมาณ 3-3.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็น M&A 9 ดีล ซึ่งในปี 55 คาดว่าจะเห็นดีลควบรวมในกลุ่มพลังงานและธุรกิจโรงแรม นอกจากนี้ยังมีดีลสินเชื่อระยะยาว 75 ดีล การออกพันธบัตร 21 ดีล และ IPO 5 ดีล การระดมเงินในโครงสร้างพื้นฐาน 5 ดีล และดีลการลงทุนระหว่างประเทศ อีก 43 ดีล

สำหรับสถานการน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในเขตนิคมอุตสาหกรรม คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 4 แสนล้านบาท อุตสาหกรรมที่ถูกกระทบมากที่สุด คือ ยานยนต์ อิเลคทรอนิคส์ อาหารและเครื่องดื่ม ในส่วนของลูกค้าธนาคารได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมประมาณ 1,420 ราย และมีลูกค้ายื่นขอความช่วยเหลือมาแล้ว 140 ราย วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ธนาคารประเมินว่าจากเหตุการณ์น้ำท่วมจะมีความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้น 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งลูกค้าที่ขอสินเชื่อเพิ่มไม่น่าจะส่งผลให้เกิดหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)เพิ่มขึ้น เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้มีระดับหนี้สินต่อทุนต่ำที่ประมาณ 1.3-1.6 เท่า

ส่วนผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ไม่น่าจะมีการย้ายฐานการผลิต เนื่องจากประเทศไทยถือเป็นประเทศที่เป็นฐานการส่งออกรายใหญ่ของเอเซีย และยังมีการบริโภคในประเทศอยู่ในระดับที่ดี แต่มีความเป็นไปได้ในอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิคส์ที่อาจจะมีการย้ายฐานได้ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีตลอดเวลา การย้ายฐานการผลิตจะขึ้นอยู่กับต้นทุนเป็นหลัก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ