ทริสคงอันดับเครดิตองค์กร,หุ้นกู้เดิม-ใหม่ KSLที่ A- แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 30, 2011 10:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. น้ำตาลขอนแก่น (KSL) ที่ระดับ “A-" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-" เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้เงินกู้และใช้เป็นทุนในการขยายการดำเนินงานตามแผน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงประสบการณ์ที่ยาวนานของบริษัทในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลในประเทศไทย ตลอดจนการขยายกิจการไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจน้ำตาล และความมีประสิทธิภาพในการผลิตน้ำตาล ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงแผนการขยายงานของบริษัท ตลอดจนความเสี่ยงทั้งในด้านกฎระเบียบและจากการดำเนินธุรกิจอ้อยและน้ำตาลในประเทศลาวและกัมพูชา รวมทั้งความผันผวนของปริมาณผลผลิตอ้อยและราคาน้ำตาลในตลาดโลกด้วย

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่ากลุ่มน้ำตาลขอนแก่นจะยังคงดำรงสถานะการเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของไทยเอาไว้ได้ ส่วนผลการดำเนินงานของโรงงานน้ำตาลในประเทศลาวและกัมพูชานั้นคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนในปีการเงิน 2555 ในขณะที่โรงงานแห่งใหม่ที่อำเภอบ่อพลอยจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการจัดหาอ้อยให้แก่บริษัท ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาความเข้มแข็งของฐานะการเงินเอาไว้เพื่อรองรับความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจน้ำตาลในต่างประเทศ

KSL เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2488 โดยตระกูลชินธรรมมิตร์และคณะ ปัจจุบันตระกูลชินธรรมมิตร์ถือหุ้นในบริษัทรวม 68% ของหุ้นทั้งหมด บริษัทเป็นเจ้าของและบริหารโรงงานน้ำตาล 4 แห่งในจังหวัดขอนแก่น กาญจนบุรี และชลบุรี โดยมีกำลังการหีบอ้อยรวม 64,000 ตันอ้อยต่อวัน

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากลุ่มน้ำตาลขอนแก่นสามารถจัดหาอ้อยได้ปีละประมาณ 4-5 ล้านตันอ้อย และมีผลผลิตน้ำตาลทรายเฉลี่ย 500,000 ตันต่อปี ในปีการผลิต 2553/2554 กลุ่มน้ำตาลขอนแก่นสามารถผลิตน้ำตาลได้ 622,330 ตัน คิดเป็นสัดส่วน 6.44% ของปริมาณน้ำตาลทั้งประเทศ ซึ่งจัดอยู่ในลำดับ 5 รองจากกลุ่มมิตรผล ซึ่งมีสัดส่วน 19.34% กลุ่มไทยรุ่งเรือง 16.67% กลุ่มไทยเอกลักษณ์ 11.27% และกลุ่มวังขนาย 7.82% โรงงานของบริษัทมีประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลอยู่ที่ 91.01 กิโลกรัม (กก.) ต่อตันอ้อยเมื่อวัดจากอ้อยในเกณฑ์มาตรฐานสำหรับปีการผลิต 2553/2554 ซึ่งดีกว่าอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ยที่ 89.58 กก.

ตั้งแต่ปี 2549 บริษัทได้ขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจน้ำตาลเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากอ้อยอันประกอบด้วยธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าและธุรกิจผลิตเอทานอล โดยในระหว่างปีการผลิต 2550-2552 รายได้จากธุรกิจพลังงาน (เอทานอลและไฟฟ้า) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของยอดขายรวมของบริษัท ในขณะที่กำไรสุทธิจากธุรกิจพลังงานคิดเป็นสัดส่วนถึง 29% ของกำไรสุทธิรวม ส่วนในปีการผลิต 2553 รายได้จากธุรกิจพลังงานคิดเป็น 8.85% ของยอดขาย และมีกำไรสุทธิคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 170.57% ของกำไรสุทธิรวมเนื่องจากมีผลขาดทุนจากการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ในธุรกิจน้ำตาล

โรงงานน้ำตาลของกลุ่มน้ำตาลขอนแก่นในประเทศลาวและกัมพูชาเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในปีการผลิต 2552/2553 และมีอ้อยป้อนโรงงานทั้ง 2 แห่งจำนวน 300,299 ตันอ้อยในปีการผลิต 2553/2554 ผลผลิตอ้อยในประเทศลาวและกัมพูชาต่ำกว่าประมาณการเนื่องจากการขาดแคลนแรงงานฝีมือและความยากลำบากในการบริหารจัดการไร่อ้อยในประเทศดังกล่าว บริษัทส่งออกน้ำตาลทรายดิบที่ผลิตจากโรงงานในประเทศลาวและกัมพูชาไปยังกลุ่มประเทศยุโรปและคาดว่าโรงงานทั้ง 2 แห่งนี้จะสามารถผลิตน้ำตาลในระดับที่ถึงจุดคุ้มทุนได้ในปีการผลิต 2554/2555

เพื่อเป็นการเสริมความแข็งแกร่งด้านการจัดหาอ้อย บริษัทมีการลงทุนจำนวน 7,250 ล้านบาทเพื่อย้ายโรงงานน้ำตาลที่มีอยู่เดิมและขยายกำลังการผลิตไปยังศูนย์การผลิตแห่งใหม่ในอำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี โดยศูนย์การผลิตดังกล่าวประกอบด้วยโรงงานน้ำตาล โรงงานผลิตเอทานอล และโรงไฟฟ้าอย่างละ 1 โรง ปัจจุบันโครงการส่วนแรกเริ่มดำเนินการผลิตแล้วในปีการผลิต 2553/2554 และคาดว่าโครงการส่วนที่ 2 จะเริ่มดำเนินงานได้ในปีการผลิต 2554/2555 บริษัทยังเตรียมโครงการขยายกำลังการผลิตน้ำตาลไปยังจังหวัดเลยโดยใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 3,800 ล้านบาทด้วย โดยโครงการนี้ประกอบด้วยโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าอย่างละ 1 โรง ทั้งนี้ คาดว่าโรงงานแห่งใหม่ดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปีการผลิต 2556/2557

ในช่วง 9 เดือนแรกของปีการเงิน 2554 (พฤศจิกายน 2553-กรกฏาคม 2554) บริษัทมียอดขายรวม 12,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปีการเงิน 2554 ก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 494% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 1,484 ล้านบาท สาเหตุหลักเกิดจากผลขาดทุนที่ลดลงอย่างมากจากการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ รวมถึงราคาขายน้ำตาลทรายและปริมาณขายน้ำตาลทรายที่เพิ่มขึ้น บริษัทมียอดเงินกู้ ณ เดือนกรกฎาคม 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 13,074 ล้านบาท แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังค่อนข้างทรงตัวที่ระดับ 54.07% เมื่อเทียบกับระดับ 53.81% ณ เดือนตุลาคม 2553 ปริมาณผลผลิตอ้อยและราคาน้ำตาลในตลาดโลกมีความผันผวนเป็นอย่างมาก ในปีการผลิต 2553/2554 ปริมาณผลผลิตอ้อยของไทยมีมากถึง 95.38 ล้านตันอ้อย ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากการมีพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตต่อไร่ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกอ้อย ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกในเดือนมกราคม 2554 อยู่ในระดับสูงที่ 36.11 เซนต์/ปอนด์เนื่องจากผลผลิตอ้อยที่ลดลงในประเทศออสเตรเลีย

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดราคาได้ปรับตัวลดลงและเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 23-25 เซนต์/ปอนด์เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าผลผลิตอ้อยจากไทย อินเดีย รัสเซียและยุโรปจะเพิ่มขึ้น องค์การน้ำตาลระหว่างประเทศ (International Sugar Organization) ประมาณการว่าดุลน้ำตาลในปี 2554/2555 จะมีน้ำตาลส่วนเกิน 4.46 ล้านตัน โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีน้ำตาลส่วนเกิน 1.9 ล้านตัน แนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอของกลุ่มประชาคมยุโรปเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันราคาน้ำตาลให้อ่อนตัวลง

สำหรับประเทศไทยนั้นอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อพื้นที่ปลูกอ้อยเพียง 1% ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณอ้อยในฤดูการผลิต 2554/2555 จะยังสูงถึง 99.5 ล้านตัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ