บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) คาดส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจหลักทรัพย์(มาร์เก็ตแชร์)ในปี 54 จะอยู่ในระดับกว่า 5% และยังติดอันดับ Top 5 ของโบรกเกอร์ที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุด โดยปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 5-6% และมั่นใจว่าในปี 55 จะยืนหยัดอยู่ได้อย่างแข็งแกร่งเช่นกัน โดยได้เตรียมพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่คาดว่าจะเพิ่มดีกรีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปี 54 คาดว่ากำไรพอร์ตลงทุนลดลง แต่ผลประกอบการทั้งปียังดีกว่าปีก่อน โดยผลงานในงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 253.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132.03 ล้านบาท หรือร้อยละ 109.00 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 121.13 ล้านบาท และบริษัทมีกำไรสะสม จำนวน 341.31 ล้านบาท
บริษัทยังเปิดเผยว่าได้ยกเลิกแผนซื้อกิจการโบรกเกอร์ในฮ่องกงหลังตกลงผลประโยชน์ไม่ลงตัว แต่หันไปจับมือกับพันธมิตรสิงคโปร์และมาเลเซียเพื่อร่วมมือทางธุรกิจในการรองรับ ASEAN Linkage ทั้งนี้ บริษัทเตรียมนำแผนการดำเนินธุรกิจปี 55 เข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือน ธ.ค.นี้
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ CGS กล่าวว่า กำไรสุทธิปี 54 จะมากกว่าปี 53 หลัง 9 เดือนแรกบริษัทมีกำไรแล้ว 253 ล้านบาท มากกว่ากำไรทั้งปีก่อนที่อยู่ในระดับ 171 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่สูงขึ้นมาที่ 2.8 หมื่นล้านบาท
ประกอบกับ ภาพรวมธุรกิจนายหน้าซื้อขายตราสารในตลาดอนุพันธ์ก็ปรับตัวดีขึ้น โดยปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์ 3.9-4% อยู่ใน 10 อันดับแรก จากปีก่อนอยู่ในลำดับที่ 24 เนื่องจากตลาดอนุพันธ์(TFEX)ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งออยล์ ฟิวเจอร์ส, ซิลเวอร์ ฟิวเจอร์ส, โกลด์ ฟิวเจอร์ส ถือเป็นส่วนสนับสนุนรายได้ให้เพิ่มเข้ามา
อย่างไรก็ตาม กำไรจากพอร์ตการลงทุนในปีนี้คงไม่มากเท่าปีก่อน เนื่องจากตลาดฯในปีนี้ค่อนข้างผันผวน โดยพอร์ตการลงทุนในปัจจุบันของบริษัทมีวงเงินอยู่ที่ 500 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนระยะสั้น 100 ล้านบาท และลงทุนระยาว 400 ล้านบาท
นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า บริษัทได้เตรียมพร้อมองค์กรไว้ตั้งแต่ปี 53 เพื่อรองรับการแข่งขันเสรีค่าคอมมิชชั่นในปี 55 ด้วยการพัฒนาด้านต่างๆ โดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มผลิตภัณฑ์และการบริการทางการเงิน เพื่อให้รองรับความต้องการของลูกค้าได้ครบวงจร การพัฒนาระบบด้านไอทีให้มีความทันสมัย การบริหารความเสี่ยงต่างๆ การพัฒนาทีมมาร์เก็ตติ้ง รวมไปถึงขยายฐานนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบันให้เติบโตมากขึ้น เพี่อให้องค์กรแข็งแกร่ง
ขณะเดียวกันยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนให้ลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำงานและช่วยลดต้นทุนได้มากยิ่งขึ้นด้วย
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้ยกเลิกแผนเข้าซื้อกิจการบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศฮ่องกงแล้ว เนื่องจากไม่สามารถตกลงเรื่องผลประโยชน์กันได้ แต่บริษัทได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเพื่อร่วมมือทางธุรกิตกับพันธมิตรที่เป็นบริษัทหลักทรัพย์ในมาเลเซียและสิงคโปร์แล้ว เบื้องต้นจะเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้านธุรกิจซึ่งกันและกัน เพื่อรองรับการเชื่อมโยงตลาดทุนอาเซียน แต่ในอนาคตอาจจะมีการเข้ามาถือหุ้นไขว้กันได้
สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งรุนแรงในประเทศไทย ทำให้สาขาของบริษัทต้องปิดให้บริการชั่วคราวไปทั้งหมด 8 สาขา ได้แก่ นครสวรรค์ บางบัวทอง แจ้งวัฒนะ ลาดพร้าว งามวงศ์วาน บางแค และปิ่นเกล้าอีก 2 สาขา แต่ขณะนี้มีเพียงสาขาบางแค และบางบัวทองที่ยังไม่สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้