ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์พุ่ง 490.05 จุดหลัง 6 แบงก์ชาติบรรเทาสภาพคล่องตึงตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 1, 2011 06:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งกว่า 4% เมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) ขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางชั้นนำของโลกอีก 5 แห่งที่ประกาศใช้มาตรการบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงินด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปสกุลเงินดอลลาร์ เพื่อให้ธุรกรรมการกู้ยืมไหลเวียนดีขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของ ADP Employer Services ที่ระบุว่า ภาคเอกชนของสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 2 แสนตำแหน่งในเดือนพ.ย.

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 490.05 จุด หรือ 4.24% ปิดที่ 12,045.68 จุด ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 51.77 จุด หรือ 4.33% ปิดที่ 1,246.96 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 104.83 จุด หรือ 4.17% ปิดที่ 2,620.34 จุด

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นแข็งแกร่งขานรับรายงานที่ว่า เฟด พร้อมด้วยธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศความร่วมมือในการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวในระบบการเงินโลก ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปดัชนีข้ามคืน (OIS) ลง 0.5% โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป

อัตราดอกเบี้ย OIS เป็นอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะสั้นประเภทหนึ่ง ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะช่วยให้รธุรกรรมการกู้ยืมเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั้ง 6 แห่งยังตกลงกันว่าจะขยายระยะเวลาบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 1 ก.พ. 2556

เฟดระบุว่า ความร่วมมือในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงิน และบรรเทาผลกระทบของภาวะดังกล่าวที่มีต่อการปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคครัวเรือนและภาคเอกชน การดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนมากขึ้นหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 0.5% โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.นี้เช่นกัน ซึ่งถือการดำเนินการครั้งแรกในรอบประมาณ 3 ปี เพื่อผ่อนคลายภาวะสินเชื่อตึงตัวและเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากข่าวรัฐมนตรีคลังของ 17 ชาติสมาชิกยูโรโซน หรือยูโรกรุ๊ป มีมติให้เพิ่มขนาดทุนทรัพย์ให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) และข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงการจ้างงานในภาคเอกชน

ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 206,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในปีนี้

การเพิ่มขึ้นของตัวเลขจ้างงานในภาคเอกชนทำให้นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย. ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 122,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 9.0% ในเดือนพ.ย.

หุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 7.3% หุ้นเจพีมอร์แกน เส แอนด์ โค ทะยานขึ้น 8.4% และหุ้นซิตี้กรุ๊ปพุ่งขึ้น 8.9% โดยหุ้นกลุ่มธนาคารปิดพุ่งขึ้น หลังจากที่ร่วงลงในระหว่างวัน อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่าสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารพาณิชย์รายใหญ่สุด 4 แห่งของสหรัฐ รวมถึงแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป, โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์, ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค

หุ้นแคทเตอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับงานก่อสร้างและอุตสาหกรรมเหมืองแร่ พุ่งขึ้น 8.1% หุ้นยูเอส สตีล พุ่งขึ้น 15%

ส่วนหุ้นเอเอ็มอาร์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของอเมริกัน แอร์ไลน์ส พลิกกลับมาปิดตลาดพุ่งขึ้น 23% หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันอังคาร อันเนื่องมาจากข่าวเอเอ็มอาร์ได้ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สินจากการล้มละลายต่อศาลในเมืองแมนฮัทตันของสหรัฐ

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ