นายกิตติ ชีวะเกตุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผุ้จัดการ บมจ. ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเม้นท์ แอนด์ เคมิกัคส์(UAC) เปิดเผยว่า บริษัทประมาณการรายได้รวมในปี 55 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,000 ล้านบาท พร้อมทั้งตั้งเป้ารายได้รวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านบาทในปี 58 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมี Market Capital สูงกว่าปัจจุบัน 2 เท่า
"ปี 55 คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะมีการขยายตัวสูง เพราะรัฐบาลต้องอัดฉีดเงินเข้าฟื้นฟูประเทศในทุกๆด้าน รวมทั้งมีปัจจัยบวก เช่น การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล การเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ และค่าแรงขั้นต่ำ จะกระต้นให้เกิดการบริโภคขนาดใหญ่ภายในประเทศ"นายกิตติ กล่าว
ส่วนในปี 54 คาดว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 13-15% จากปี 53 ที่มีรายได้รวมที่ 773.64 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มธูรกิจด้านพลังงาน และปิโตรเคมี ยังมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากดีมานด์ความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยประเมินได้จากราคาน้ำมันดิบที่กลับมาสูงกว่า 100 เหรียญ/บาร์เรล
ประกอบกับ บริษัทลดการเก็บสินค้าคงเหลือเพื่อเพิ่มกระแสเงินสดในมือให้มากขึ้นในการรองรับการลงทุนปี 55 ให้สอดคล้องกับการมุ่งพัฒนาตลาดสินค้าใหม่ๆ เช่น น้ำยาแอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สารเคมีและสารเร่งปฏิกิริยาในการผลิตเนยและกรดไขมันต่างๆ รวมทั้งสารเร่งปฏิกิริยาในโรงงานปิโตรเคมีขั้นปลาย ซึ่งเป็นการทำตลาดล่วงหน้าในปี 55
นายกิตติ ยังกล่าวว่า ในปี 55 บริษัทยังมุ่งเน้นพลังงานทดแทนและสาธารณูปโภค โดยบริษัทยูเอซี ยูทิลิตี้ส์ จำกัด (UAC UT) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ UAC จะเห็นความชัดเจนเรื่องการลงทุนภายในเดือนธ.ค.นี้ เช่นเดียวกับโรงงาน CBG แห่งที่สองที่ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งกำลังจะเริ่มเดินหน้า โดยทั้ง 2 โครงการน่าจะแล้วเสร็จและรับรู้รายได้ภายในปี 55
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการโรงงานในภาคอีสานอีก 1 แห่ง เพื่อตั้งโรงงาน CBG เพิ่ม หากเจรจาสำเร็จ จะส่งผลให้บริษัทมีการลงทุนใน CBG รวมทั้งหมด 3 โครงการ
ขณะเดียวกัน บริษัทฯมีแผนลงทุนในโครงการด้านพลังงานเพื่อผลิต LPG, CNG และ NGL โดยปัจจุบันได้ศึกษาโครงการ Gas Utilization Project มาระยะหนึ่งแล้ว และได้รับ Letter of Intent จากบริษัทต่างชาติที่ได้รับสัมปทานในการขุดเจาะน้ำมันดิบ และก๊าซในเขตจังหวัดสุโขทัย เพื่อทำการเจรจาลงทุนสร้างโรงงานปรับสภาพก๊าซที่ได้มาจากการผลิตน้ำมันดิบ ทั้งนี้ โครงการคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท และจะเริ่มทำการผลิตได้ประมาณปลายไตรมาส 3/55 และจะสร้างรายได้ประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี