นายคริสเตียน โอลอฟเซน ประธานกรรมการฝ่ายจัดการศูนย์การค้า บมจ.สยามฟิวเจอร์ (SF) คาดว่า โครงการเมกะบางนาจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 55 จำนวน 1 พันล้านบาท ซึ่งจะส่งผลต่อการสร้างรายได้ให้กับบริษัทตามสัดส่วนที่ถือ 49% จากเงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
เนื่องจากขณะนี้ มีผู้เช่าพื้นที่แล้วกว่า 92% หรือจำนวน 450 ราย รวมทั้งการเปิดร้านค้าของในแบรนด์ใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นและรายได้ โดยมีทั้งร้านค้าเกี่ยวกับแฟชั่น 32% ของผู้เช่าทั้งหมด ร้านอาหาร 24% สินค้าเด็ก สุขภาพงาม กีฬา ตกแต่งบ้าน และไอที รวมกัน 43% โดยคาดว่า โครงการเมกะบางนาจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 10 ปีข้างหน้าตามแผนงาน
ทั้งนี้ โครงการเมกะบางนา จะสามารถเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ในต้นเดือนพ.ค. 55 และคาดว่าจะมีผู้ใช้เข้าใช้บริการประมาณ 1 แสนคน/วัน จากก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดศูนย์เฟอร์นิเจอร์ IKEA ที่ได้รับการตอบรับที่ดี มีผู้ใช้บริการ 2 - 3.5 หมื่นคน/วัน
จากการตอบรับที่ดีในโครงการเมกะบางนา ทำให้บริษัทมีความสนใจที่จะเปิดโครงการใหม่ที่มีเช่นเดียวกับโครงการเมกะบางนา อีก 2 แห่ง โดยจะเน้นในกรุงเทพ คาดว่าจะเห็นการลงทุนดังกล่าวภายใน 10 ปี ซึ่งถือว่าเร็วกว่าแผนที่วางไว้ 15 ปี
ทั้งนี้ บริษัทเชื่อว่าโครงการเมกะบางนา จะสร้างรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต และมองว่าแนวโน้มตลาด ในด้านธุรกิจค้าปลีกยังเติบโตอย่างมั่นคง โดยผลกระทบจากน้ำท่วมที่ผ่านมา มองว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น และจะกลับมาภาวะปกติในช่วงที่เปิดให้บริการโครงการเมกะบางนา
"เราไม่ได้กลัวผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่ว่าทั้งน้ำท่วม หรือ การเมือง เพราะเราเชื่อว่าเป็นผลกระทบสั้นๆเท่านั้น และจากตัวเลขการเช่าพื้นที่ เป็นสิ่งที่ยืนยันผู้ประกอบการค้าปลีกว่ายังมีความมั่นใจในธุรกิจและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เมกะบางนา ถือเป็นศูนย์การค้ารูปแบบใหม่ที่อยู่ในพื้นที่ชานเมือง ที่ตอบรับโครงการอสังหาฯ ที่อยู่ตามชานเมืองซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้สูง"นายโอลอฟเซน กล่าว