ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) ซึ่งเป็นการปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ จะสามารถหาแนวทางการแก้ไขและป้องกันการลุกลามของวิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซนได้ ซึ่งรวมถึงการออกกฎระเบียบใหม่ในการสร้างวินัยด้านการคลัง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 46.24 จุด หรือ 0.38% แตะที่ 12,196.37 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 2.54 จุด หรือ 0.20% แตะที่ 1,261.01 จุด แต่ดัชนี Nasdaq ปิดลบ 0.35 จุด หรือ 0.01% แตะที่ 2,649.21 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกว่า ที่ประชุมอียูจะสามารถหาทางป้องกันและควบคุมปัญหาหนี้สาธารณะได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศยักษ์ใหญ่ของยูโรโซน รวมถึงเยอรมนีและฝรั่งเศส ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) เตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ 6 ประเทศยูโรโซนที่มีอันดับเครดิตขั้น AAA หากที่ประชุมอียูวันศุกร์นี้ไม่สามารถหาทางป้องกันปัญหาหนี้ได้
นักลงทุนจับตาดูการประชุมสุดยอดของผู้นำอียูที่กรุงบรัสเซลส์ในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจุดสนใจจะอยู่ที่กฎเกณฑ์ใหม่ในการประสานนโยบายการคลังเข้าด้วยกัน โดยนักลงทุนจับตาดูว่ากฎเกณฑ์ใหม่นี้จะนำไปสู่การแก้ไขสนธิสัญญาซึ่งต้องใช้เวลานานหรือไม่ เพราะการแก้ไขสนธิสัญญาจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากประเทศสมาชิกอียูทั้ง 27 ประเทศ
หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์รายงานว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูจะหารือกันเกี่ยวกับการเพิ่มทุนทรัพย์ให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ขณะที่สื่อบางแห่งคาดว่าที่ประชุมอาจจะหารือกันเกี่ยวกับการให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหามากยิ่งขึ้น โดยอาจใช้วิธีให้ธนาคารกลางของประเทศสมาชิกยูโรโซนจัดหาเม็ดเงินให้แก่ไอเอ็มเอฟ เพื่อให้ไอเอ็มเอฟนำเงินดังกล่าวไปใช้ในการแก้ไขวิกฤติหนี้
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่า ปัญหาหนี้ยุโรปเป็นปัญหาร้ายแรงเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ในอนาคตอันใกล้นี้
หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่คำนวณในดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค พุ่งขึ้น 2.3% หลังจากนายเจมี ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกน ส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการซื้อคืนหุ้น ขณะที่หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดีดตัวขึ้น 1.9%
หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มสาธารณูปโภคร่วงลงหนักสุด หลังจากโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นในกลุ่มเหล่านี้ โดยหุ้นแคทเตอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างและเหมืองแร่ ร่วงลง 1.1% ขณะที่พีบอดี้ เอนเนอร์จี ร่วงลง 3.4% หุ้นอาร์ช โคล อิงค์ ร่วงลง 3.4% และหุ้นอัลฟา เนเชอรัล รีซอสเซส ปรับตัวลง 0.9%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนต.ค. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค. และรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต้นเดือนธ.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในช่วงเย็นวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายสำหรับปีนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าอีซีบีจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 1.0% และอาจจะประกาศอัดฉีดสภาพคล่องรอบใหม่เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเงินทุนในภาคธนาคาร