นายอนาวิล ธรรมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เชาว์ สตีล อินดัสทรี้(CHOW)เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนครั้งแรก(IPO)ที่ 3.00 บาท/หุ้น จากช่วงราคาที่กำหนดในเบื้องต้น 2.9-3.1 บาท/หุ้น โดยจะเปิดให้จองซื้อในช่วง 13-15 ธ.ค.และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai) ในวันที่ 21 ธ.ค.นี้
ทั้งนี้ CHOW จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 200 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นหุ้นในส่วนที่ยังไม่ได้เรียกชำระจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับกิจการ และหลังจากเสนอขายหุ้นIPO จะทำให้บริษัทมีทุนชำระแล้วจำนวน 800 ล้านบาท
นายอนาวิล กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 55 เติบโต 20-30% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 5,000 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกของปีทำรายได้แล้ว 4,200 ล้านบาท เนื่องจากในปีหน้าบริษัทจะเพิ่มอัตรากำลังการผลิตเป็น 75-80% หรือมีกำลังผลิต 3.6 แสนตัน/ปี จากปีนี้อยู่ที่ 60% หรือ 3 แสนตัน/ปี เพื่อตอบสนองความต้องการเหล็กจะเพิ่มสูงขึ้นมากทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะการใช้เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูภายหลังเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนการขายในประเทศ 94% ลูกค้าหลักเป็นกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ส่งคำสั่งซื้อเข้ามา ขณะที่ราคาเหล็กได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แนวโน้มจากนี้ไปราคาน่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น
บริษัทยังเชื่อว่าจะมีโอกาสเห็นการจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปี 54 และปี 55 โดยงวด 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมีกำไรสะสม 85 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะจ่ายตามนโยบาย 40% ของกำไรสุทธิ
ด้าน น.ส.พัชพร สรรคบุรานุรักษณ์ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า หุ้น CHOW จะเข้าทำการซื้อขายในวันที่ 21 ธ.ค.ถึงแม้เป็นช่วงปลายปีแต่เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เพราะเป็นช่วงหลังน้ำลด ข้อดีของบริษัทก็มีผลิตภัณฑ์หลักคือเหล็กเส้นและเหล็กข้ออ้อยที่ใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งในปีหน้าคาดว่าจะมีความต้องการค่อนข้างสูงในโครงการขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์
สำหรับการตั้งราคา IPO ที่ 3.00 บาท/หุ้น ถือว่าเหมาะสม เพราะมีส่วนลดให้นักลงทุนเกือบ 30% ทำให้สามารถทำกำไรได้ PE ในอดีตที่ 11 เท่า เมื่อเทียบ PE ตลาด mai ที่ 16.5 เท่า ขณะที่งวด 9 เดือนกำไรโตแล้วกว่า 1,000% ยอดขายโต 57% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และในอนาคต PE จะลดลงอีกมากเพราะผลประกอบการของบริษัทจะสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นช่วงปลายปีนี้ก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นด้วย
"trend ตลาดก่อนปี 55 ช่วง 21 ธ.ค.อยู่ในระดับที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 1,000 จุด ถึงแม้จะมีปัญหายุโรป เชื่อว่าดัชนีจะยืนเหนือ 1,000 จุดได้ จึงเป็น timing ที่ดี และปลายปียังมีเรื่อง LTF, RMF เป็นปัจจัยเสริมเข้ามาด้วย" น.ส.พัชพร กล่าว