นายมงคลนิมิตร เอื้อเชิดกุล กรรมการและผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ บมจ.เอสโซ่(ประเทศไทย) (ESSO) เปิดเผยว่าในไตรมาส 4/54 บริษัท ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงในประเทศทำให้ต้องปิดสถานีบริการน้ำมันไปกว่า 100 แห่ง หรือราว 20% จากสถานีบริการน้ำมันทั้งหมด 500 แห่งทำให้สูญเสียรายได้ไปบางส่วนแต่น้อยกว่าสัดส่วนการปิดสถานีบริการน้ำมันที่ 20% ส่วนรายได้ทั้งปียังคาดว่าจะเติบโตจากปีที่แล้ว
"ปั๊มทยอยปิดไล่มาเรื่อยตั้งแต่นครสวรรค์ อยุธยา บางบัวทอง ปั๊มปิดไป 100 กว่าแห่ง บางที่น้ำไม่ท่วมแต่ก็ปิดเพราะอยู่ในถนนที่ล้อมรอบไปด้วยน้ำเราก็แย่ต้องปิดไปตอนนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้นหลายที่น้ำแห้งแต่กว่าจะกลับมาเปิดได้ต้องใช้เวลาตรวจเช็คคุณภาพน้ำมัน เตรียมความพร้อมกว่าจะเปิดได้ใช้เวลาถึง 2 อาทิตย์ รายได้เราก็หายไปแต่ไม่ถึง 20% เท่าจำนวนที่ปิดปั๊มหรอก"
สำหรับปี 55 บริษัทไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่แล้วหลังจากลงทุนในโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 แล้วเสร็จเรียบร้อยโดยใช้งบลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีความพร้อมในการจำหน่ายน้ำมันยูโร 4 ตามข้อกำหนดของกระทรวงพลังงานในวันที 1 ม.ค.55 แม้ว่าการจำหน่ายน้ำมันยูโร 4 จะมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่สามารถปรับเพิ่มที่ราคาขายต่อลิตรหน้าปั๊ม ซึ่งเป็นมาตรฐานเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยรถยนต์รุ่นใหม่จะผลิตเครื่องยนต์ที่ใช้ได้เพียงน้ำมันยูโร 4
ส่วนการที่ บมจ.ไทยออยล์(TOP) ศึกษาการเข้าซื้อกิจการโรงกลั่นของ ESSO นั้น นายมงคลนิมิตร กล่าวว่า ไม่มีความคืบหน้าและยืนยันว่ากลุ่ม ESSO แม้จะเป็นนักลงทุนต่างชาติแต่มาลงทุนในไทยกว่า 100 ปี และดำเนินกิจการโรงกลั่นเป็นเวลา 45 ปีแล้วจึงยืนยันว่าไม่คิดที่จะขายกิจการแต่อย่างใด