โบรกฯเชียร์"ซื้อ"KK คาดปี 56 กำไรโตชัดเจนหลังรวมกิจการ PHATRA สำเร็จ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 13, 2011 16:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะ"ซื้อ"หุ้นธนาคารเกียรตินาคิน(KK)รวมทั้งมีการปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานด้วย หลังจากประกาศรวมกิจการกับ บมจ.ทุนภัทร(PHATRA)ด้วยวิธีการแลกหุ้นในอัตราส่วน 1 หุ้นของ PHATRA ต่อ 0.9135 หุ้นเพิ่มทุนของ KK จากนั้นจะเพิกถอนหุ้น PHATRA ออกจากการเป็นหลักทร้พย์ในตลาดหลักทรัพย์

การควบรวมดังกล่าวมองว่าต่างก็ได้เติมเต็มจุดอ่อนของแต่ละฝ่าย ทำให้ KK กลับมามีศักยภาพแข็งแกร่ง และออกผลิตภัณฑ์ใหม่รองรับความต้องการลูกค้าได้หลากหลายขึ้น โดย PHATRA มีความเชี่ยวชาญด้านโบรกเกอร์ และที่ปรึกษาการเงิน อีกทั้ง KK มีโอกาสได้สินเชื่อรายใหญ่จากที่ PHATRA มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทขนาดใหญ่

ทั้งนี้ ดีลควบรวมกิจการนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 3/54 ฉะนั้น จะเห็นกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นได้ชัดในปี 56 ขณะที่ราคา KK ร่วงมาหลังจากตลาดหลักทรัพย์ปลดเครื่องหมาย SP น่าจะเป็นการขายทำกำไรหลังประกาศแผนรวมกิจการแล้ว

นอกจากนั้น ยังคาดว่า KK จะมีการจ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยมีผลตอบแทนสูงปีละ 8-9%

          โบรกเกอร์          คำแนะนำ      ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.เคทีบีฯ           ซื้อ             45.00
          บล.กสิกรไทย         ซื้อ             45.00
          บล.เอเซียพลัส        ซื้อ             44.86
          บล.โกลเบล็ก         ซื้อ               -
          บล.กรุงศรีอยุธยา     เก็งกำไร         43.25
          บล.ดีบีเอสฯ         เก็งกำไร       40.67-51.38 บาท (ตามวิธี P/BV)

นางสิริณัฏฐา เตชะศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า KK ประกาศทำคำเสนอซื้อ PHATRA ด้วยวิธีการแลกเปลี่ยนหุ้นในอัตราส่วน 1 หุ้นของ PHATRA ต่อ 0.9135 หุ้นเพิ่มทุนของ KK ถือว่าเป็นราคา Fair กับทั้ง 2 ฝ่าย ยังไม่นับรวม Synergy ที่จะช่วยเสริมกันได้

การที่ PHATRA เข้ารวมกิจการกับ KK จะช่วยเสริมธุรกิจ Wealth Management ขณะที่ด้านเงินฝากจะได้รับผลกระทบในกลางปีหน้าที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะลดจำนวนคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจหลักทรัพย์จะช่วยเสริมศักยภาพกันได้ โดย บล.ภัทร จะยังดูแลลูกค้าสถาบันและต่างประเทศ ส่วน บล.เกียรตินาคิน ดูแลลูกค้ารายย่อย ซึ่งจะใช้ข้อมูลร่วมกัน ทำให้ต้นทุนลดลง ขณะที่ KK มีโอกาสปล่อยสินเชื่อองค์กรขนาดใหญ่ที่ บล.ภัทร มีความสัมพ้นธ์ที่ดีด้วย

"แต่ก่อนมอง KK จะประเมินมูลค่าแบบ Discount เพราะมีความไม่แน่นอนในศักยภาพความแข็งแกร่งธุรกิจ แต่ตอนนี้ปรับมูลค่าจาก 35 บาท เป็น 45 บาท คิดว่าราคาหุ้นก่อนหน้านี้ขึ้นค่อนข้างแรง แต่ดูราคาตอนนี้(34.25 บ.)ก็ยังน่าสะสม"นางสิริณัฏฐา กล่าว

ด้านนายธนัทเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา เห็นว่า แม้ KK จะรวมกิจการกับ PHATRA ก็ยังคงเป็นธนาคารขนาดเล็กต่อไป ไม่ได้เป็นธนาคารขนาดใหญ่หรือขนาดกลาง เพียงแต่จะทำให้ KK ครบเครื่อง มีผลิตภัณฑ์หลากหลายมากขึ้น และรองรับกับธุรกิจเงินฝากที่จะลดความคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านในกลางปีหน้า จึงเปลี่ยนคำแนะนำเป็น"เก็งกำไร"จากเดิม"ถือ"เพราะการรวมกิจการไม่ได้ทำให้กิจการธนาคารโตก้าวกระโดด

"การรวมครั้งนี้เป็นการเข้ามาต่อจิ๊กซอว์ ปิดจุดอ่อน อาจจะสูสี TISCO และจะทำให้กำไรสุทธิดีขึ้น จะเห็นได้ชัดในปี 56 แต่อาจจะไม่ใช่การ merge ครั้งสุดท้าย...ราคาปรับลงตอนนี้เข้าใจว่าเป็น sale on fact"นายธนัทเดช กล่าว

ขณะเดียวกันมองว่า การวมกิจการนี้ทำให้ PHATRA อยู่รอดได้ เพราะจะมีการเปิดเสรีทางการเงินในเร็วๆนี้

ส่วนฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส มีมุมมองบวกต่อการรวมธุรกิจของ KK และ PHATRA ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างต้นแบบทางธุรกิจ อีกหนึ่งรูปแบบของวงการสถาบันการเงินของไทย เนื่องจากเป็นการจับคู่ทางธุรกิจที่ค่อนข้างลงตัว จากการเติมเต็มทางธุรกิจที่เป็นจุดด้อยของแต่ละฝ่าย ให้สามารถเพิ่มศักยภาพการหารายได้และกำไรใน ระยะยาว จากการดำเนินธุรกิจร่วมกันโดยอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ของบุคลากรแต่ละฝ่าย ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ และการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า แต่ละฝ่ายที่ครอบคลุมและครบวงจรมากขึ้น

KK จะมีสถานภาพเป็น Investment Bank ที่มีความแข็งแกร่งในเรื่องของโครงสร้างรายได้ที่จะกระจายตัวมากขึ้น และพร้อมสำหรับรับมือกับการแข่งขันที่ จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีการเปิดเสรีทางการเงินของเขตการค้าอาเชียน(AEC)ในปี 58 (แต่ในส่วนของประเทศไทยจะมีการเลื่อนการเปิดเสรีทางการเงินไปอีกระยะหนึ่ง)

อย่างไรก็ตาม ผลจากการเพิ่มทุนของ KK จะส่งผลให้ EPS และ BVS ปี 55 ปรับตัวลดลงจากเดิม เนื่องจากเป็นการรวมผลการดำเนินงานของ PHATRA ในช่วง 5 เดือนเท่านั้น ในขณะที่ได้รวมผลกระทบจากการเพิ่มทุนของ KK ไว้ทั้งจำนวน แต่หากพิจารณาในระยะยาวถึงปี 56 จะเห็นว่าผลการดำเนินงานของ PHATRA ที่เริ่มสร้างรายได้เต็มที่ให้กับ KK จะทำให้เห็นการเติบโตของ EPS ถึง 21.3% yoy ซึ่งฝ่ายวิจัยยังไม่รวมผลบวกจาก Synergy ทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแต่อย่างใด

"ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำซื้อ KK โดยเน้นให้ทยอยเข้าสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวเพราะในระยะสั้นอาจเห็นแรงขายทำกำไรภายหลังจากที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นทยอยรับปัจจัยบวกดังกล่าวมาในระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งระยะเวลากว่าจะถึงช่วงที่ทำการ swap หุ้นกับ PHATRA อย่างน้อยอีก 7-8 เดือน จะเป็นปัจจัยที่กดดันราคาหุ้น KK ไปอย่างต่อเนื่อง สำหรับนักลงทุนระยะยาวฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำให้ถือครองไว้เพื่อรับเงินปัผลจากคาดการณ์ Div yields ที่ยังสูงเฉลี่ยถึง 8-9%"บล.เอเชียพลัส ระบุ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ