นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า ธนาคารตั้งเป้าหมายในปี 55 สินเชื่อจะขยายตัวมากกว่าธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งระบบที่น่าจะเติบโตได้ 10% โดยประเมินบนพื้นฐานที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในระดับ 4-5% ขณะที่เงินฝากก็คงเติบโตตามสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมน่าจะเพิ่มขึ้นราว 30-40%
ขณะที่สินเชื่อในปีนี้คาดว่าน่าจะโตกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้โต 20% เนื่องจากในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาสินเชื่อก็โตเกิน 20% แล้ว
ทาง CIMB Group Holdings (CIMBGH) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ตั้งเป้าที่จะให้ CIMBT ขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์ 3 อันดับของของไทยภายในปี 55-56 ซึ่งต้องมี ROE เพิ่มเป็น 16% และทางบริษัทแม่ก็อยากให้ CIMBT มีกำไรเป็น 10% ของกรุ๊ปภายในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยปีก่อน CIMBT มีกำไรประมาณ 3% ของกรุ๊ป
นายสุภัค กล่าวว่า ความต้องการสินเชื่อในช่วงครึ่งปีแรกของปี 55 โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1/55 น่าจะขยายตัวได้ดี จากความต้องการสินเชื่อเพื่อนำไปใช้ฟื้นฟูหลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนแรกของปี 55 นั้นจะอยู่ที่ระดับ 4-6% แต่ในช่วง 6 เดือนหลังการเติบโตจะเริ่มชะลอลง เพราะแรงกระตุ้นจากการใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมจะเริ่มลดลง
“ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 55 ผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมน่าจะเป็นปัจจัยหนุนต่อการเติบโตของสินเชื่อ เพราะต้องมีการฟื้นฟูหลังน้ำลด แต่ในช่วง 6 เดือนหลังตัวแปรผลกระทบจากน้ำท่วมคงเริ่มซาลง ก็คงขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลกโลกมากกว่า"นายสุภัค กล่าว
แผนการดำเนินธุรกิจของธนาคารจะนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในช่วงเดือนม.ค.55 ในเบื้องต้นธนาคารก็ยังให้ความสำคัญกับ 3 หน่วยธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ลูกค้ารายย่อย ซึ่งจะเน้นในเรื่องของสินเชื่อบ้านและสินเชื่อไม่มีหลักประกัน รวมทั้งการขายผลิตภัณฑ์อื่นๆเพิ่มขึ้น เช่น การขายประกันและกองทุน 2.ลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ก็จะยังคงเดินหน้าขยายพอร์ตอย่างต่อเนื่อง และเน้นในส่วนการการ Trade และบริการเงินสดมากขึ้น
และ 3.ลูกค้ารายใหญ่ เน้นขยายงานทางด้านวาณิชธนกิจ (IB) เนื่องจากในปีหน้าคาดว่าจะมีบริษัทจดทะเบียนของไทยเริ่มออกไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในแถบอาเซียน
ปัจจุบัน พอร์ตสินเชื่อของธนาคารแบ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ 30-35% ลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 25-30% ที่เหลือเป็นลูกค้ารายย่อย แบ่งออกเป็นอีก 4 หน่วยธุรกิจ ได้แก่ 1.สินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งปีนี้คาดว่าจะโตกว่า 20% 2.สินเชื่อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์น่าจะโตได้ 20-30% 3.สินเชื่อไม่มีหลักประกัน และ 4.การขายประกัน
“ตั้งแต่ทางกรุ๊ปเข้ามาช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราก็มีการเติบโต ปัญหาที่เรื้อรังมาเช่น NPL ก็ลดลงจากกว่า 10% เหลือ 3% มีการเพิ่มทุนต่างๆ...ที่ผ่านมาเรื่องที่เราทำได้ดีก็เป็นการบริหารส่วนต่างดอกเบี้ย แต่เราก็ยังต้องมีอีกหลายเรื่องที่ต้องปรับปรุงหรือที่ยังเป็นจุดอ่อน คือ ตัวรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยต่อสินทรัพย์ยังต่ำกว่าแบงก์อื่น ขณะที่หนี้ค้างจ่ายเฉลี่ยต่อสินทรัพย์ก็ยังสูง"นายสุภัค กล่าว
และในปีหน้าธนาคารมีแผนจะเปิดตัวธุรกิจบัตรเครดิตในช่วงเดือน ต.ค.แม้รายได้และกำไรจะไม่ได้มากนัก แต่ธนาคารมองว่าน่าจะใช้เป็นช่องทางในการต่อยอดทางธุรกิจ ส่วนการซื้อพอร์ตเครดิตของ HSBC นั้นธนาคารไม่ได้พิจารณา
สำหรับแผนการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมนั้น หากมีโอกาสหรือจังหวะที่เหมาะสมธนาคารก็จะพิจารณาเป็นกรณีไป แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับทางบริษัทแม่ด้วย
ด้านนายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หลังจากทาง CIMBGH ได้เข้าซื้อ บล.ซิกโก้(SSEC)สัดส่วน 70% ก็มีความตั้งใจที่จะนำกิจการของ บล.ซิกโก้ และ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) มาควบรวมกันเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ
"หลังจากที่ทาง Group ได้เข้าไปซื้อหุ้นซิกโก้ตอนนี้ก็มีอยู่ 2 แนวทาง คือทาง Group จะบริหารเอง หรือจะให้บล.ของทั้ง 2 มารวมกัน ซึ่งจะเป็นแนวทางไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับการทำเทนเดอร์ฯว่าจะได้หุ้นมาเท่าไหร่ แต่แนวทางที่ทาง Group ต้องการก็อยากให้มารวมกันมากกว่า"นายสุชาย กล่าว
ทั้งนี้ หาก บล.ซิกโก้ และ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) มีการควบรวมกิจการกันจริงก็จะทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มเป็น 2.7-3% อยู่ใน 15 อันดับแรก จากปัจจุบันที่ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 1.6% และจะทำให้สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากบล.ซิกโก้มีสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยถึง 90% ขณะที่ปัจจุบันบล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) มีสัดส่วนนักลงทุนรายย่อย 70% และนักลงทุนสถาบัน 30%
นอกจากนี้ ทาง CIMB Group ก็ตั้งเป้าอยากจะให้บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ขึ้นเป็น 5 อันดับแรกในธุรกิจโบรกเกอร์ไทยภายในอีก 3 ปี โดยต้องมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 4-5%