สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน นายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ และนายสมชาย ศรีพยัคฆ์ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2554 กรณีมีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่าบุคคลทั้งสามตกลงหรือร่วมรู้เห็นกันกับอดีตผู้บริหาร 2 รายของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลในกลุ่มและบุคคลอื่นในการสร้างราคาหุ้น บมจ. เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) ในช่วงระหว่างวันที่ 12 กันยายน - 24 พฤศจิกายน 2551
และ ก.ล.ต. ยังได้กล่าวโทษนายสุริยา กรณีมีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่าได้ตกลงหรือร่วมรู้เห็นกับอดีตผู้บริหารของบริษัทหลักทรัพย์ข้างต้นใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลอื่นสร้างราคาหลักทรัพย์อีก 2 หลักทรัพย์ คือ หุ้น บมจ. เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ (METRO) และหุ้น บมจ.ไทยยูนีคคอยล์ เซ็นเตอร์ (TUCC) ระหว่างวันที่ 19 กันยายน - 30 พฤศจิกายน 2549 และระหว่างวันที่ 1 - 31 ตุลาคม 2550 ตามลำดับ
ในมูลคดีเดียวกันนี้ยังมีผู้ต้องสงสัยอีก 5 รายที่ได้แสดงความจำนงเบื้องต้นที่จะเข้ารับการพิจารณาเปรียบเทียบความผิดโดยคณะกรรมการเปรียบเทียบ ซึ่ง ก.ล.ต.จะแจ้งผลการดำเนินการให้ทราบต่อไป
สำหรับที่มาของการตรวจสอบจนเป็นผลให้มีการดำเนินคดีกับบุคคลในกรณีนี้สืบเนื่องจากข้อมูลที่ ก.ล.ต. ได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจากการรวบรวมข้อมูลในด้านต่างๆ ซึ่งรวมถึงข้อมูลที่ได้จากการเข้าตรวจค้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับนายสุริยา นายสมพงษ์ และนายสมชาย ทำให้ ก.ล.ต. มีพยานหลักฐานเพียงพอให้เชื่อได้ว่า สภาพการซื้อขายที่ผิดปกติของหุ้น METRO หุ้น TUCC และหุ้น SECC เกิดจากการซื้อขายของบุคคลกลุ่มที่กล่าวผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลต่างๆ ในลักษณะอำพราง เพื่อให้บุคคลทั่วไปหลงผิดไปว่าหุ้นนั้นมีการซื้อขายกันมาก หรือราคาหุ้นนั้นเปลี่ยนแปลงไป โดยมีพฤติกรรมการซื้อขายในลักษณะต่อเนื่อง อันเป็นผลทำให้การซื้อหรือขายหุ้นนั้นผิดไปจากสภาพปกติของตลาด เพื่อชักจูงให้บุคคลทั่วไปทำการซื้อขายหุ้นนั้น รวมทั้งมีการจับคู่ซื้อขายโดยบุคคลที่ได้ประโยชน์เป็นบุคคลคนเดียวกัน อันเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 243(1) (2) และมาตรา 244 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แล้วแต่กรณี