นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป(CGS)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในปี 55 บริษัทฯตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ธุรกิจหลักทรัพย์ที่ 6% สูงกว่าปี 54 ที่มีมาร์เก็ตแชร์ราว 5.5% และมาร์เก็ตแชร์ธุรกิจ TFEX ตั้งไว้ที่ 6% เช่นกัน เพื่อขึ้นสู่ระดับ TOP5 ซึ่งปัจจุบันมาร์เก็ตแชร์ธุรกิจ TFEX มีอยู่ประมาณ 4%
บริษัทฯยังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนบัญชีลูกค้าในปี 55 อีก 10-20% จากขณะนี้ที่มีอยู่ประมาณ 50,000 บัญชี โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทฯเป็นลูกค้าในประเทศถึง 90% ส่วนอีก 10% เป็นกองทุนทั้งในประเทศและกองทุนต่างประเทศ
"ตอนนี้บริษัทมีสาขาทั้งสิ้น 49 สาขา หากรวมสำนักงานใหญ่ด้วยก็เป็น 50 สาขา ซึ่งสาขาที่มีอยู่ก็ถือว่าเพียงพอต่อการให้บริการลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งปีหน้ายังไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะต้องเปิดสาขาเพิ่มแต่อย่างใด แต่หากบริษัทฯจะเปิดสาขาเพิ่มก็จะทำการเลือกตามความเหมาะสมอีกที"นายประสิทธิ์ กล่าว
สำหรับพอร์ตการลงทุนของบริษัทฯขณะนี้มีอยู่ 500 ล้านบาท ปีหน้าก็คงจะยังไม่มีแผนที่จะขยายเพิ่มขึ้น โดยการลงทุนของพวก Prop Trade ในปี 54 สามารถทำกำไรได้ดีประมาณ 17%
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทวางเป้าหมายทางธุรกิจด้านวาณิชธนกิจในปีหน้าจะทำรายได้ราว 30 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวกันกับของปีนี้ที่บริษัทฯไม่สามารถทำได้ตามที่คาดหวังไว้ เนื่องจากมีลูกค้าหลายรายที่เลื่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จากปีนี้ ขณะที่ลูกค้า IPO ปีหน้ามีจำนวนราว 5-6 รายที่มีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งตลาดหลักทรัพย์ SET และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(MAI)
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ CGS กล่าวว่า แผนงานของบริษัทฯในปี 55 มีโครงการเชื่อมโยงการซื้อขายหลักทรัพย์อาเซียน(ASEAN Linkage)ทั้งในไทย, มาเลเซีย, เวียดนาม, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ พร้อมทั้งจะให้บริการซื้อขายตราสารอนุพันธ์อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยด้วย
และในปี 55 บริษัทฯมีเป้าหมายที่จะออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์(Derivative Warrant หรือ DW) ขั้นต่ำ 6 ตัว ขณะที่ปีนี้บริษัทฯได้เสนอขาย DW เพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้น
"ตอนนี้บริษัทก็ได้มีการทำธุรกิจ SBL บ้างแล้ว โดยได้ทำกับ TSFC เพียงแห่งเดียว แต่ในปีหน้าบริษัทฯมีแผนจะทำด้วยตัวเอง"ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CGS กล่าว
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า จากที่ขณะนี้มีหลายบริษัทหลักทรัพย์ได้มีการซื้อกิจการ, ควบรวมกิจการ รวมถึงการมีพันธมิตรที่เป็นแบงก์นั้น บริษัทมีความพร้อมด้านการเงินและมีจุดแข็งของเราเอง จึงยังไม่จำเป็นจะต้องรวมธุรกิจกับแบงก์ หรือไปควบรวมกิจการกับใคร แต่ก็ไม่ปิดกั้นที่จะเจรจากับพันธมิตรที่สนใจจะร่วมขับเคลื่อนธุรกิจกับบริษัท
"ถ้ามีพันธมิตรรายใดที่เข้ามาคุยกันแล้วเกิดผล Win:Win ด้วยกันทั้งคู่ ถึงเวลานั้นเราก็อาจทำก็ได้ ดังนั้นเรื่องพันธมิตรจึงไม่ได้ปิดกั้นเสียเลยทีเดียว เพียงแต่ทำอะไรก็ต้องคำนึงถึงผู้ถือหุ้นด้วย ถ้าเรามี Partner ก็จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินไปข้างหน้าได้ และยังจะทำให้การทำงาน smooth มากขึ้น"นายประสิทธิ์ กล่าว