นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี (MFC) มองราคาทองคำปัจจุบันได้ปรับตัวลงมามากจากสาเหตุการแข็งตัวของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าจะปรับตัวลงถึงสิ้นปีนี้เท่านั้น หลังจากนี้มาตรการจากสหภาพยุโรป เช่น การกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำระยะยาวเพื่อเพิ่มสภาพคล่องจากธนาคารกลางยุโรป การระดมเงินเข้าสู่ IMF เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการช่วยเหลือในอนาคต และผลจาก QE3 ในไตรมาสแรกของปี 55 จะผลักดันราคาทองคำให้สูงขึ้น โดยราคาอาจมีการปรับตัวเป็นช่วงๆ ตามเหตุการณ์และปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ
ทั้งนี้ บริษัทปิดยอดขายของกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล โกลด์ สปอท 7 ซีรี่ส์ 3 หรือ I-GOLD7S3 โดยสามารถปิดยอดขายได้กว่า 679 ล้านบาท ซึ่งเป็นทาร์เก็ตฟันด์ที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนทองคำ และตั้งเป้าหมายผลตอบแทนร้อยละ 7 ภายใน 10 เดือน
นางสาวประภา กล่าวว่า เอ็มเอฟซีมองว่าการออกกองทุนทองคำประเภททาร์เก็ตฟันด์ในช่วงกลางธันวาคมที่ผ่านมา เป็นจังหวะเหมาะสมที่จะลงทุนในทองคำ และมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ เนื่องจากแนวโน้มราคาทองคำในอีก 12 เดือนจะสูงขึ้นจากปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ แนวโน้มความต้องการถือครองทองคำจากภาคเอกชนหรือภาคธนาคารกลางต่างๆ ของโลกที่สูงขึ้น
นักลงทุนหันมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำเช่นทองคำกันมากขึ้น เพราะปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มเศรษฐกิจยุโรปที่ยังไม่คลี่คลาย และทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงแนวโน้มเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่ยังไม่ชะลอตัว ส่วนจีนมีความต้องการทองรูปพรรณเพิ่มสูงขึ้น 13%ในปีนี้ ซึ่งรายได้ของประชาชนจีนและราคาทองคำเป็นในทิศทางเดียวกัน
ทั้งนี้ กองทุนเปิด I-GOLD 7S3 เป็นกองทุนประเภทกองทุนรวมทองคำทั่วไปที่ลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมทองคำ (ETF) หลายกองทุน เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยลงทุนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐและฮ่องกง และมีการป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
นางสาวประภา กล่าวว่า ในปีนี้เอ็มเอฟซีกวาดยอดขายช่วงการเสนอขายครั้งแรกของกองทุนต่างๆ รวม 24 กองทุน เป็นเงินกว่า 12,000 ล้านบาท โดยเป็นกองทุนตราสารหนี้รวมกว่า 8,800 ล้านบาท กองทุนทาร์เก็ตฟันด์รวมกว่า 3,300 ล้านบาท และกองทุนต่างประเทศอีกกว่า 40 ล้านบาท