บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(STEC)คาดในปี 55 รายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตราว 30% จากปี 54 ที่มั่นใจว่าจะทำรายได้ตามเป้าหมาย 1.4 หมื่นล้านบาท ขณะทีกำไรสุทธิปีนี้ก็น่าจะดีกว่าปีก่อนด้วย เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นและสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ที่ระดับ 8% รวมทั้งประเมินว่าปีนี้จะได้งานใหม่ราว 2.5 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปี 54 ที่มี 2.4 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทจะเข้าประมูลงานมูลค่ารวม 7.5-8 หมื่นล้านบาท ทั้งโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าอย่างน้อย 2 สาย และงานซ่อมแซมฟื้นฟูจากน้ำท่วม อีกทั้งระบบป้องกันน้ำท่วมจากภาคเอกชนตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ
พร้อมมั่นใจในช่วง 3 ปี(ปี 55-57)บริษัทมีรายได้เติบโตดีปีละ 20-30% จากงานในมือ(backlog)ที่ทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ ณ สิ้นปี 54 มี backlog สูงถึง 4.9 หมื่นล้านบาท ถือว่าสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 50 ปีในปีนี้ ขณะเดียวกันยังเตรียมศึกษาการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ประเดิมบนพื้นที่ 8 ไร่ย่านพระราม 3 คาดเห็นในปี 56 หรือ 57 เพื่อเพิ่มรายได้เพิ่มเข้ามาในอนาคต
นายวรพันธ์ ช้อนทอง กรรมการรองผู้จัดการสายการเงินและบริหาร STEC กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในปี 54 บริษัทคาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย 1.4 หมื่นล้านบาท แม้เจอปัญหาน้ำท่วมเป็นอุปสรรคในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าทั้งสายสีม่วงและส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินก็ตาม และกำไรสุทธิดีกว่าเป้าเล็กน้อย ส่วนงานใหม่ทั้งปีมีจำนวน 2.4 หมื่นล้านบาทตามเป้าเช่นกัน
"กำไรสุทธิปี 54 ดีกว่าปี 53 ที่มีกำไรสุทธิ 443.76 ล้านบาท 9 เดือนได้แล้ว 664.30 ล้านบาท ขึ้นกับไตรมาส 4 ว่าจะทำได้อีกเท่าไร จะเป็นส่วนที่ดีกว่าปีที่แล้ว ไตรมาส 4 ยังทำกำไรได้ ถือว่ากระทบน้ำท่วมเล็กน้อย ถ้าไม่มีน้ำท่วมก็จะทำได้เกินเป้า แต่ก็ยังได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้"นายวรพันธ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในงวดปี 54 จะเป็นการจ่ายปันผลเป็นปีที่ 2 จากปี 53 ที่จ่ายปันผลหุ้นละ 0.22 บาท ซึ่งกลับมาจ่ายเงินปันผลครั้งแรกหลังจากล้างขาดทุนสะสมหมด โดยนโยบายกำหนดจ่ายในอัตรา 40% ของกำไรสุทธิ แต่ปี 55 จะเป็นปีที่ครบรอบ 50 ปี คงต้องคุยกันในคณะกรรมการว่าจะมีอะไรที่เป็นพิเศษหรือไม่ ซึ่งบริษัทจะสรุปงบการเงินปี 54 ประมาณเกลางเดือน ก.พ.55 และน่าจะประชุมคณะกรรมการช่วงปลายเดือน
ส่วนปี 55 คาดว่าบริษัทจะรับรู้รายได้จำนวน 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งจากงานในมือ(Backlog)ที่มีอยู่ 4.9 หมื่นล้านบาท(ณ สิ้น ธ.ค.54)เป็นระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมาตั้งแต่บริษัทก่อตั้งมา 50 ปี ทั้งนี้ ปริมาณงานดังกล่าวน่าจะสามารถรองรับการเติบโตของบริษัทได้ในช่วง 3 ปี(ปี 55-57)ที่จะมีอัตราการเติบโตของรายได้ประมาณ 20-30%
รวมทั้ง ปีนี้บริษัทจะเข้าประมูลงานใหม่ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยตั้งเป้ามีงานใหม่เข้ามาไม่ต่ำกว่าปีก่อนหรือ 2.5 หมื่นล้านบาท เชื่อว่าน่าจะทำได้โดยไม่ต้องกังวล และสถิติการเข้าประมูลนั้นบริษัทมีโอกาสได้งานประมาณ 30-35% ขณะนี้มีแผนจะเข้าประมูลงานมูลค่าประมาณ 7.5-8 หมื่นล้านบาทเป็นงานในประเทศทั้งหมด
"ใน 3 ปีข้างหน้าเรามี backlog สูงที่ 4.9 หมื่นล้านบาท มีมาร็จิ้นเฉลี่ย 8% ต่อให้ไม่มีงานเราก็อยู่ได้ถึง 3 ปี ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้น ปกติเรามีงานใหม่มาทดแทนงานเก่า"นายวรพันธ์ กล่าว
นายวรพันธ์ มองว่าในปี 55 ภาครัฐจะมีงานก่อสร้างรถไฟฟ้า ได้แก่ สายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่, สายสีชมพู ช่วงแคราย-ปากเกร็ด แต่ละสายมีมูลค่าก่อสร้างราว 2-3 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีงานสร้างถนนอื่นๆ อีก ส่วนภาคเอกชน คงจะมีการทำระบบป้องกันน้ำท่วมตามนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ติดต่อ รอการออกแบบให้เสร็จก่อน
ขณะที่ รถไฟฟ้าสายสีแดงสัญญาที่ 1 ที่บริษัทร่วมกับบมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(UNIQ)เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดนั้น ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)อยู่ระหว่างการพิจารณา
ปัจจุบัน งานในมือเป็นสัดส่วนภาครัฐและเอกชน 50:50 อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้น่าจะรักษาให้เท่ากับปี 54 ที่อยู่ในระดับ 8% ได้ และบริษัทมีแผนจะลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทนเครื่องจักรเก่าในปีนี้จำนวน 200-220 ล้านบาท เช่น รถเครน โดย ณ สิ้นปี 54 บริษัทมีกระแสเงินสดประมาณ 2-3 พันล้านบาท และไม่มีหนี้สถาบันการเงิน
*เล็งต่อยอดทำธุรกิจอสังหาฯ
นายวรพันธ์ กล่าวว่า เมื่อกลางเดือน ธ.ค.54 บริษัทซื้อที่ดินย่านพระราม 3 เนื้อที่ 8 ไร่ มูลค่า 766.3 ล้านบาท และจะศึกษาในรายละเอียดว่าจะพัฒนาเป็นโครงการลักษณะใด แต่คงจะใช้เวลาพอสมควรในการศึกษาให้ลึกซึ้ง เพราะที่ดินดังกล่าวสามารถพัฒนาได้หลากหลายรูปแบบทั้งคอนโดมิเนียม โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์
นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดิน ย่านบางนา กม.4 เนื้อที่ 28 ไร่ ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสีเหลืองวิ่งผ่านถนนศรีนครินทร์ จึงเหมาะทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ และมีแนวคิดดำเนินโครงการเองไม่จำเป็นต้องหาพันธมิตรมาร่วม เพราะหากมีแนวความคิดไม่ตรงอาจเกิดปัญหาได้ เหมือนงในอดีตเคยทำรีสอร์ทที่ภาคใต้และภายหลังบริษัทได้ขายทิ้งแล้ว
นายวรพันธ์ มองว่าภาวะเศรษฐกิจในปี 55 จะฟื้นตัว โดยไตรมาสแรกเริ่มการฟื้นฟูพื้นที่ต่าง ๆ หลังน้ำท่วมทั้งโรงงานและภาคครัวเรือน รวมทั้งการสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมที่จะต้องเร่งดำเนินการ ขณะที่ภาครัฐก็ต้องเร่งขุดลอกคูคลองต่างๆ ส่วนงานสร้างถนนหรือสาธารณูปโภคอื่นน่าจะเริ่มใช้งบประมาณตั้งแต่เดือน ก.พ. 55
ปัจจัยเสี่ยงธุรกิจในปี 55 เห็นว่าเศรษฐกิจในยุโรปไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่น ทำให้ส่งผลกระทบต่อดีมานด์ในเอเชีย ถึงแม้ว่าจีนเป็นผู้ส่งออก แต่กระทบกับไทยในฐานะที่ส่งสินค้าไปจีนด้วย แต่เชื่อว่ายุโรปจะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จในที่สุดเพราะมีความตื่นตัวเรื่องนี้มาก จึงน่าจะทรงตัวได้ไม่ทรุดไปกว่าเดิม ส่วนสหรัฐดูจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ เริ่มฟื้นตัว โดยช่วง 2-3 เดือนอัตราว่างงานสหรัฐเริ่มลดลง ทำให้ค่อนข้างจะ positive กับปัจจัยในปีหน้า
ในปี 55 ค่าแรงที่ปรับขึ้นมีผลไม่มากต่อ STEC ค่าแรงคิดเป็นสัดส่วนกว่า 10% ของต้นทุนทั้งหมด อีกทั้งแรงงานหายาก ซึ่งปัจจุบันส่วนหนึ่งจ่ายสูงกว่า 300 บาท/วันที่เป็นแรงงานมีฝีมือ ส่วนหนึ่งที่ใช้แรงงานไร้ฝีมือ บริษัทก็จะหาเครื่องจักรเข้ามาช่วยเพิ่มขึ้น แต่ปัจจุบันคนไทยทำงานภาคก่อสร้างน้อยลง บริษัทก็จะหาแรงงานพม่าและกัมพูชาเข้ามาทดแทน
ส่วนปัญหาต้นทุนน้ำมัน หากเป็นงานภาครัฐค่าเคก็จะปรับขึ้น ส่วนภาคเอกชนจะกระทบราคาวัสดุกอ่สร้าง เราจะเจรจากับเอกชนได้ เพราะงบลงทุนมีค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด ขณะที่บริษัทคาดว่าราคาน้ำมันปรับขึ้นไม่มาก เพราะภาวะเศรษฐกิจฝั่งยุโรปยังไม่ดี