บล.กสิกรไทย มองภาพรวมตลาดหุ้นปี 55 เคลื่อนไหวตามทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศที่จะเติบโตอย่างช้า ๆ เล็งเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้จะขึ้นไปแกว่งตัวในช่วง 1,100-1,150 จุด มองจุดต่ำสุด 812 จุดกรณีเลวร้ายสุดปัญหายุโรปทวีความรุนแรง คาดในก.พ.-มี.ค.55 ตลาดหุ้นไทยปรับฐานจากปัจจัยเสี่ยงในและต่างประเทศ จากนั้นจะดีดตัวช่วงไตรมาส 2/55 ชูหุ้นเด่นต้นปี กลุ่มรับประโยชน์บริโภคในประเทศโต-หุ้นปันผลดี กลางปีโยกเข้าบิ๊กแค็ป ทั้งพลังงาน-แบงก์ มุมมองลงทุนต่างประเทศแนะตลาดหุ้นจีน-อินเดีย
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวในการบรรยายในงานสัมมนา Investment strategies ไขรหัสพลิกวิกฤตพิชิตการลงทุนว่า ตลาดหุ้นน่าจะเคลื่อนไหว sideway ในทิศทางเดียวกับจีดีพีประเทศที่เติบโตอย่างช้า ๆ คาดว่าดัชนีจะขึ้นไปได้ที่ 1,100-1,150 จุด ขณะที่จุดต่ำสุด 812 จุด ซึ่งเป็นการประเมินในกรณีเลวร้ายที่สุดจปัญหาวิกฤตหนี้สินในยุโรปทวีความรุนแรงขึ้น จนถึงขั้นเกิดการแยกตัวของกลุ่มสหภาพยุโรป(EU) แต่ส่วนตัวมองว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น และปัญหาน่าจะคลี่คลายลงได้ แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ มองว่าช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.55 ตลาดหุ้นไทยน่าจะมีการปรับฐานเนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายเรื่องทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความกังวลต่อปัญหาหนี้สินในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ การรีไฟแนนซ์หนี้ของรัฐบาลในกลุ่มยูโร และยังมีความเสี่ยงจากการที่เยอรมัน ฝรั่งเศส สหรัฐ อาจจะถูกปรับลดอันดับเครดิตอีกด้วย ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศผลประกอบการงวดไตรมาส 4/54 ของบริษัทจดทะเบียนที่จะประกาศออกมาในเร็วๆ นี้มีแนวโน้มลดลงจากผลกระทบสถานการณ์น้ำท่วม รวมทั้งยังมีปัจจัยเรื่องค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงด้วย
อย่างไรก็ตาม คาดว่าช่วงเวลาดังกล่าวดัชนี SET จะลงไปทดสอบระดับ 900 จุด แต่นักลงทุนยังสามารถเลือกหุ้นรายตัวในการลงทุนได้อยู่ โดยเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศ และหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง แนะนำ CPF, MAKRO, EGCO, INTUCH, MAJOR, TTW, BAFS
รวมทั้งหุ้นที่มีประเด็นข่าวเป็นรายตัว อาทิ SIRI ที่มีปีนี้มีแนวโน้มการขยายตัวอย่างโดเด่น P/E ยังอยู่ในระดับต่ำ, THCOM ที่ผลประกอบการจะพลิกกลับมาเป็นกำไร, KSL ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้นยังถูกแต่มีการจ่ายปันผลที่สูง, LOXLEY ที่จะได้ประโยชน์จาก 3G และมีความคืบหน้าเรื่องหวยออนไลน์ นอกจากนี้ HEMRAJ ที่ปีนี้กำไรมีโอกาสเติบโตถึง 300% รวมทั้งหุ้นที่มี beta สูง AP SCC BANPU
นายกวี กล่าวอีกว่า ต่อจากนั้นในช่วงไตรมาส 2/55 คาดว่าดัชนี SET จะปรับตัวขึ้นอีกครั้งไปทดสอบที่ระดับ 1,100-1,150 จุด หลังประเมินว่าสถานการณ์ต่างๆจะคลี่คลายและชัดเจนขึ้น โดยในช่วงดังกล่าวควรจะเลือกลงทุนกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ พลังงานและธนาคารพาณิชย์ แนะ"ซื้อ" PTT, TOP, PTTCG, KTB และ SCB
"ตลาดหุ้นปีนี้ภาพรวมน่าจะแกว่ง sideway ตามเศรษฐกิจไทยที่จะโตอย่างช้าแนะนำว่าเมื่อดัชนีขึ้นไปทดสอบ 1,100 จุดให้ทยอยขายทำกำไร และเมื่อดัชนีหลุด 950 -900 จุดให้เข้าซื้อ"นายกวี กล่าว
ด้านนายสุวิทย์ ฉันทไกรวัฒน์ ที่ปรึกษาทางการเงินอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วโลกในปีนี้คงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในยุโรปเป็นหลัก ส่วนตัวคาดว่าปัญหาน่าจะเริ่มคลี่คลายและมีความชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรก แต่หากนักลงทุนไม่ได้คำนึงปัจจัยเรื่องนี้ก็ยังถือว่ายังมีโอกาสการลงทุนในหลายตลาดฯที่น่าสนใจ โดยเฉพพาะตลาดหุ้นจีนที่ปัจจุบันราคาหุ้นถือว่ายังถูกมากและรัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ภาวะเงินเฟ้อก็เริ่มลดระดับลง ขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียยังเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจหลังแนวโน้มเงินเฟ้อในประเทศเริ่มปรับตัวลดลงอย่างเนื่อง
นางสาวธนพร วิศรุตพงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า คาดแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบปี 55 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 107 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปีก่อน 106 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยครึ่งปีแรกความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกยังเติบโตต่อเนื่องทั้งจากจีนและอินเดีย แต่ขณะเดียวกันด้านกำลังการผลิตก็จะเพิ่มขึ้น หลังจากประเทศลิเบียกลับมาผลิตน้ำมันอีกครั้ง โดยคาดว่าในปี 55 ลิเบียจะผลิตน้ำมัน 1 ล้านบาร์เรล/วันจากปี 54 ที่ 7 แสนบาร์เรล/วัน
"แนวโน้มราคาน้ำมันในช่วงไตรมาสแรกน่าจะทรงตัวเท่ากับไตรมาส 4 /54 ที่มีราคา 106 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะเป็นฤดูหนาวความต้องการใช้ยังมีมากแต่ช่วงไตรมาส 2 ความต้องการจะลดลง ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาลที่มีปรับปรุงโรงกลั่น โดยราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 100-105 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และช่วงครึ่งปีหลังราคาจะปรับเพิ่มมากขึ้นกว่าครึ่งปีแรกเนื่องจากสหรัฐจะเลือกตั้ง ปกติตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆจะออกมาดี"
ขณะที่นายนที ดำรงกิจการ ที่ปรึกษาทางการเงินอาวุโส บล.กสิกรไทย มองว่า แนวโน้มราคาทองคำในปี 55 ระยะกลางถึงระยะยาวยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากปริมาณความต้องการทั้งจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อยมีเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลกระทบวิกฤตหนี้ยุโรปจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำและคาดว่านักลงทุนจะกลับมาลงทุนในทองคำ
แต่อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังถูกกดดันจากค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วราคาทองคำจะเคลื่อนไหวตรงข้ามกับค่าเงินดอล่าร์สหรัฐ