ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (12 ม.ค.) ซึ่งเป็นการปิดลบติดต่อกัน 2 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มค้าปลีก หลังจากบริษัท เทสโก้ เปิดเผยยอดขายในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่น้อยกว่าการคาดการณ์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานยอดค้าปลีกและข้อมูลด้านแรงงานที่ซบเซาของสหรัฐ
ดัชนี FTSE 100 ปิดลบ 8.4 จุด หรือ 0.2% แตะที่ 5,662.42 จุด
นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มค้าปลีก โดยหุ้นเทสโก้ ร่วงลง 16% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2531 หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่น้อยกว่าการคาดการณ์ และยังได้ปรับดลคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้ ขณะที่หุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มค้าปลีกร่วงลงด้วยเช่นกัน โดยหุ้นเจ แซนบิวรี และหุ้นวิลเลียม มอร์ริสัน ซูเปอร์มากเก็ต ดิ่งลงกว่า 5% ขณะที่หุ้นมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ร่วงลง 2%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังร่วงลงหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่อ่อนแอ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 ม.ค. เพิ่มขึ้น 24,000 ราย มาอยู่ที่ 399,000 ราย ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 375,000 ราย
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น โดยหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) พุ่งขึ้น 5.6 % ซึ่งเป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหุ้นกลุ่มบลูชิพ หลังจาก RBS ประกาศแผนลดพนักงานในส่วนของวาณิชธนกิจ 3,500 คน และอาจจะขายหรือปิดธุรกิจหุ้นและการให้คำปรึกษา ส่วนหุ้นธนาคารนลอยด์ แบงกิง พุ่งขึ้น 3.5% และหุ้นธนาคารบาร์เคลย์ส ดีดตัวขึ้น 1.7%
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของราคาทองแดงในตลาดลอนดอน หลังจากทางการจีนเปิดเผยว่าตัวเลขเงินเฟ้อชะลอตัวลงในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว โดยหุ้นเวแดนต้า รีซอสเซส พุ่งขึ้น 4.7% หุ้นคาซัคมิส บวก 2.4% และหุ้นอันโตฟากัสต้า บวก 2%