ทริสฯ คงเครดิต NOBLE องค์กร “BBB+/Stable" หุ้นกู้ไม่มีประกันที่ “BBB"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 13, 2012 13:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ที่ระดับ “BBB+" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทที่ระดับ “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์ของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบน ตลอดจนกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างของสินค้า และคอนโดมิเนียมที่รอการส่งมอบจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในโครงการคอนโดมิเนียม “โนเบิล เพลินจิต“ มูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัท รวมถึงภาระหนี้จำนวนมาก ซึ่งเกิดในระหว่างการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมดังกล่าว ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงานด้วย

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบที่อยู่อาศัยส่วนที่เหลือได้ตามกำหนด อีกทั้งกระแสเงินสดก็จะมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเมื่อมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการ แม้จะมีความต้องการเงินลงทุนจำนวนมากเพื่อใช้ในโครงการ “โนเบิล เพลินจิต" แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับ ณ ปัจจุบันในระหว่างการพัฒนาโครงการดังกล่าวได้

ทั้งนี้ อัตราการขายโครงการ “โนเบิล เพลินจิต" ควรสอดคล้องกับอัตราการขายโครงการในอดีตของบริษัท นอกจากนี้ การก่อสร้างควรแล้วเสร็จตามแผนการที่วางไว้โดยไม่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อรักษาอันดับเครดิตเอาไว้ที่ระดับปัจจุบันเนื่องจากเงินลงทุนจำนวนมากที่บริษัทใช้ในโครงการนี้ส่วนใหญ่มาจากการกู้ยืม

ทริสเรทติ้งรายงานว่า NOBLE เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง ซึ่งก่อตั้งในปี 2534 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2539 ตระกูลธนากิจอำนวยและเครือญาติยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โดย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2554 มีสัดส่วนการถือหุ้นรวมกัน 13% บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาตั้งแต่ปี 2549 เนื่องจากแนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยหันมานิยมการมีที่พักอยู่ในเมืองมากขึ้น

ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัย 17 โครงการ ด้วยมูลค่าเหลือขายประมาณ 12,700 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายที่รอการส่งมอบในช่วงที่เหลือของปี 2554 จนถึงปี 2560 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 12,200 ล้านบาท ที่อยู่อาศัยในโครงการของบริษัทประกอบด้วยคอนโดมิเนียมซึ่งคิดเป็น 82% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด บ้านเดี่ยว 8% ทาวน์เฮ้าส์ 7% และที่ดินเปล่า 3% การออกแบบที่อยู่อาศัยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้โครงการของบริษัทมีความแตกต่างไปจากโครงการของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น

ทริสเรทติ้งกล่าวถึงยอดขายของ NOBLE ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 ว่าเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากถึง 7,689 ล้านบาท โดยเพิ่มเป็นกว่า 2 เท่าของยอดขายในช่วงเดียวกันของปี 2553 เนื่องจากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่คือ “โนเบิล เพลินจิต" โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ยอดขายของโครงการ “โนเบิล เพลินจิต" อยู่ที่ 43% ของมูลค่าโครงการ ในขณะที่รายได้รวมของบริษัทในปี 2553 อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่จำนวน 5,105 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,938 ล้านบาทในปี 2552 ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้มาจากสาเหตุหลักคือการโอนคอนโดมิเนียมโครงการ “โนเบิล รีมิกซ์" “โนเบิล โซโล" และ “โนเบิล รีเฟล็กซ์"

อย่างไรก็ตาม รายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 ลดลงอย่างมากเป็น 2,228 ล้านบาท จาก 4,062 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2553 อันเนื่องมาจากมีปริมาณการโอนที่ลดลง อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก็ลดลงจาก 27.66% ในปี 2553 มาอยู่ที่ 22.28% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 เนื่องจากการสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีของรัฐบาลในช่วงกลางปี 2553

โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนสูงกว่าผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รายอื่น โดยอัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นเป็น 62.87% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 จาก 57.53% ในปี 2553 และ 54.07% ในปี 2552 ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในโครงการ “โนเบิล เพลินจิต"

ผลกระทบจากวิกฤติอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ลุกลามสู่พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ทำให้คาดว่ายอดขายที่อยู่อาศัยจะชะลอตัวลง โดยเฉพาะในทำเลที่เผชิญกับปัญหาน้ำท่วมอย่างหนัก ทั้งนี้ บริษัทได้รับผลกระทบจากวิกฤติน้ำท่วมเพียงเล็กน้อยเนื่องจากโครงการส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน

อย่างไรก็ตาม ยอดขายและปริมาณการโอนของบริษัทคาดว่าจะชะลอตัวในไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 โดยผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายโดยเฉพาะรายที่เน้นทำโครงการแนวราบอาจมีรายได้ที่เติบโตลดลงหรือประสบกับภาวะขาดทุนในไตรมาสสุดท้ายของปี 2554

ทั้งนี้ นโยบายสนับสนุนด้านภาษีและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปลอดดอกเบี้ยของรัฐบาลอาจไม่มีผลกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาสต่อ ๆ ไปข้างหน้าเนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคถดถอยลง นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยังคงมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ตลอดจนแรงกดดันด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลมีผลบังคับใช้ และภาระหนี้ของผู้ประกอบการที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ