นายปรัชญา กุลวณิชพิสิฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ด้านนายหน้าซื้อขายอนุพันธ์เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ จากปีก่อนที่มีมาร์เก็ตแชร์ 8.44% ซึ่งเป็นอันดับที่ 2 หรือ 3
ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการเชื่อมต่อระบบต่อตรงกับบริษัทแม่ในสิงคโปร์ หรือกลุ่มบริษัท ฟิลลิป แคปปิตอล ที่มีเครือข่าย 12 ประเทศทั่วโลก เพื่อรองรับลูกค้าสถาบันต่างประเทศของกลุ่มบริษัท เห็นข้อมูลในการซื้อขายตลาดอนุพันธ์ของไทย และสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้เองโดยตรง คาดว่าระบบดังกล่าวจะเปิดใช้ในเดือนมี.ค.นี้ ซึ่งจะส่งผลให้วอลุ่มอนุพันธ์จากลูกค้าสถาบันต่างประเทศเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น ในส่วนของบริการการลงทุนหุ้นต่างประเทศที่เปิดเป็นปี 4 แล้วนั้น ในไตรมาส 2/55 เจ้าหน้าที่การตลาดจะสามารถรับออร์เดอร์จากลูกค้าได้เหมือนกับที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย และบริษัทมีแผนไปโรดโชว์ธุรกิจโบรกเกอร์อนุพันธ์กับลูกค้าสถาบันในต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งเป็นลูกค้าที่บริษัทมีสายสัมพันธ์ที่ดี
ทั้งนี้ หากธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้นักลงทุนไทยสามารถทำการซื้อขายตลาดอนุพันธ์ในตลาดหุ้นต่างประเทศได้ด้วย ก็จะส่งผลต่อเนื่องไปยังอนุพันธ์ประเภทอื่น ๆ ทั้งทองคำ น้ำมัน ซิลเวอร์ และดัชนีตลาดต่าง ๆ ของต่างประเทศ เพราะปัจจุบันการซื้อขายอนุพันธ์แพร่หลายมากขึ้น และจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับมาร์เก็ตติ้ง ขณะนี้ระบบเตรียมพร้อมแล้ว รอแค่ ธปท.อนุญาตเท่านั้น
"ปีนี้เราจะทุ่มเทให้กับการเพิ่มสินค้ารองรับการเปิดเสรีที่จะเกิดขึ้น เรามีความเด่นเรื่องอนุพันธ์ เราจะครองแชมป์ให้เป็นอันดับ 1 ให้ได้ในปีนี้ รวมถึงในด้านหุ้น เราก็จะมีการเพิ่ม application ของระบบปฏิบัติการเอนดอยด์ เพิ่มเติมจากการซื้อขายหุ้นผ่านไอโฟน น่าจะทำให้มาร์เก็ตแชร์ปี 55 ทำได้ตามวางไว้ 3.5%"นายปรัชญา กล่าว
นายปรัชญา กล่าวว่า ในด้านธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ยังคงให้ความสำคัญกับลูกค้าขนาดกลางที่ปัจจุบันมีจำนวน 2.9 หมื่นบัญชี และมีบัญชีที่เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ 7-8 พันบัญชี/เดือน เพิ่มขึ้นจาก 6 พันบัญชี/เดือนในปีก่อน ส่วนการเพิ่มลูกค้าสถาบันคงยังไม่ให้ความสำคัญมากเนื่องจากงานวิจัยของบริษัทยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก
สำหรับแนวโน้มทิศทางตลาดหุ้นไทยในปีนี้ นายปรัชญา กล่าวว่า ปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยน่าจะทรงตัว ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 2.7 หมื่นล้านบาท/วัน และมองว่าดัชนี SET น่าจะอยู่ที่ 1,200 จุด และ P/E 14 เท่า เนื่องจากความผันผวนที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างประเทศ หุ้นที่ยังเติบโตได้จะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน สื่อสาร และธนาคารพาณิชย์