ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (17 ม.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ของจีนและดัชนีภาวะธุรกิจในรัฐนิวยอร์กของสหรัฐที่ขยายตัวได้ดีเกินคาด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสามารถสกัดปัจจัยลบจากการที่สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของ 9 ประเทศในยูโรโซน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวก 60.01 จุด หรือ 0.48% แตะที่ 12,482.07 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 4.58 จุด หรือ 0.36% แตะที่ 1,293.67 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวขึ้น 17.41 จุด หรือ 0.64% แตะที่ 2,728.08 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) ว่า จีดีพีของจีนขยายตัว 9.2% ในปี 2554 จากสถิติปีก่อนหน้านั้น ส่วนจีดีพีไตรมาส 4 ปี 2554 ขยายตัว 8.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี
ทั้งนี้ แม้ว่าจีดีพีไตรมาส 4 ขยายตัวในอัตราที่ช้าที่สุดในรอบ 10 ไตรมาส แต่ก็ยังสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่วนจีดีพีตลอดปี 2554 นั้น แม้ขยายตัวได้น้อยกว่าปี 2553 ที่ระดับ 10.3% แต่ก็ยังสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ 8%
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีดีพีที่ขยายตัวได้ดีเกินคาดของจีนช่วยพยุงตลาดหุ้นนิวยอร์กเอาไว้จนแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากข่าวเอสแอนด์พีประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศสและอีก 8 ประเทศของยุโรโซน รวมทั้งลดอันดับความน่าเชื่อถือของกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ลง 1 ขั้น
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยบวกมากขึ้นเมื่อธนาคารกลางเยอรมนี (บุนเดสแบงก์) รายงานว่า กองทุน EFSF สามารถระดมทุนด้วยการขายตั๋วเงินคลังอายุ 6 เดือนล็อตใหม่ได้ 1.501 พันล้านยูโรเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลายุโรป ด้วยอัตราส่วนความต้องการซื้อต่อปริมาณที่นำออกจำหน่ายอยู่ที่ 3.1 เท่า ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดการเงินยังคงมีความเชื่อมั่นในตราสารหนี้ของ EFSF ถึงแม้ว่า EFSF เพิ่งจะถูกเอสแอนด์พีปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือก็ตาม
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า รัฐบาลสเปนสามารถระดมทุนจากการประมูลขายตั๋วเงินคลังอายุ 12 เดือนและ 18 เดือนได้ 4.88 พันล้านยูโรหรือประมาณ 6.23 พันล้านดอลลาร์ โดยต้นทุนในการกู้ยืมลดลง และรัฐบาลกรีซสามารถประมูลขายตั๋วเงินคลังอายุ 3 เดือนได้ 1.625 พันล้านยูโร หรือประมาณ 2.06 พันล้านดอลลาร์ โดยต้นทุนในการกู้ยืมลดลงเช่นกัน
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนจากรายงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กที่ระบุว่า ดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) เดือนม.ค.ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ 13.48 จุด จากระดับ 8.19 จุดของเดือนธ.ค. ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีของเศรษฐกิจสหรัฐ
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นลงคละเคล้ากันไป โดยหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ดีดตัวขึ้น 0.7% หลังจากธนาคารเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด แต่หุ้นซิตี้กรุ๊ป อิงค์ ร่วงลง 8.2% และหุ้นเอ็มแอนด์ที แบงก์ ร่วงลง 1.6% หลังจากธนาคารทั้งสองแห่งรายงานผลประกอบการที่น้อยกว่าการคาดการณ์ของตลาดวอลล์สตรีท
หุ้นคาร์นิวาล ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเรือสำราญรายใหญ่ระดับโลก ร่วงลง 13.7% หลังจากเรือคอสต้า คอนคอร์เดีย ของบริษัทอับปางลงนอกชายฝั่งทัสแคนของอิตาลี ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 11 คน และทางการอิตาลีกำลังดำเนินคดีกับกัปตันเรือในข้อหาประมาทจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค., กระทรวงการคลังสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิและปริมาณการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของต่างชาติเดือนพ.ย., ธนาคารกลางสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังผลิตเดือนธ.ค. และสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) จะเปิดเผยดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนม.ค.
วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค., กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนธ.ค. และกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ส่วนวันศุกร์ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติจะเปิดเผยยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค.