ในแง่รายได้รวมนั้น บริษัทตั้งเป้าหมายปี 55 จะเติบโตราว 15-20% จากปีก่อนที่รายได้น่าจะปิดที่ 2.4 พันล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการขยายงานก่อสร้างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะการฟื้นฟูสิ่งก่อสร้างและอาคารต่าง ๆ หลังเกิดน้ำท่วมหนักในช่วงปายปีที่แล้ว รวมถึงการก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐ
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (backlog)จำนวน 2.3 พันล้านบาท แบ่งเป็นงานจากภาคเอกชน 60% และภาครัฐ 40% ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้เป็นเวลา 18 เดือน อีกทั้งบริษัทยังเข้าประมูลงานภาคเอกชนเพิ่มเติมด้วย
นายชาคริต กล่าวว่า ในปี 55 แนวโน้มราคาปูนซิเมนต์ยังปรับสูงขึ้นต่อเนื่องจากปี 54 ที่ราคาปรับขึ้นไปแล้ว 15% ประกอบกับราคาหินและทรายก็ปรับขึ้นตามไปด้วย มองว่าเป็นการปรับขึ้นตามดีมานด์ซัพพลาย ขณะที่งานภายใต้โครงการเมกะโปรเจ็กท์ที่บริษัทได้รับงานเข้ามานั้น บริษัทได้ล็อกราคาต้นทุนไว้หมดแล้ว จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ผลิตมีปัญหาด้านแรงงาน จึงหันไปใช้เครื่องจักรและเครื่องทุ่นแรงมากขึ้น โดย CCP มุ่งเน้นทำการตลาดคอนกรีตสำเร็จรูป(พรีคาสท์)มากขึ้น ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการที่จะลดเวลางานก่อสร้างลงและไม่ต้องใช้แรงงานมาก ปัจจุบัน กำลังการผลิตพรีคาสท์ของบริษัทอยู่ที่ 3-4 หมื่นคิว/เดือน
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลุกค้าเก่าและใหม่ในภาคตะวันออก โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดมิเนียม รวมทั้งงานระบายน้ำของโรงงานภายในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมเหมราช นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น(TICON)ได้เข้าไปสร้างโรงงานให้เช่า และยังมีอีกหลายโรงงานที่มีแนวโน้มย้ายไปภาคตะว้นออกมากขึ้น
อนึ่ง CCP มีกำลังการผลิตคอนกรีตครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก รวม 2,569,563 คิว/ปี จำนวน 27 โรงงาน ในพื้นที่ภาคตะวันออก กรุงเทพ และ ปริมณฑล