นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย ออกแถลงการณ์ระบุว่า ผลการหารือของสมาชิกสมาคมฯ เมื่อ 12 ม.ค.ที่ผ่านมาเพื่อพิจารณาผลกระทบจากร่าง พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2555 เห็นว่าไม่ยุติธรรมกับสมาชิกสมาคม และจะเป็นผลเสียกับประเทศในระยะยาว
ทั้งนี้ ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ไทยต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากในอัตราร้อยละ 0.4 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นและสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน หากมีการเรียกเก็บเพิ่มเติมขึ้นอีกให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย จะเป็นการซ้ำเติม และสร้างความอ่อนแอให้กับธนาคารพาณิชย์ของไทยในระยะยาว ซึ่งจะทำให้ต้องเสียเปรียบสถาบันการเงินในต่างประเทศมากขึ้น
และยิ่งในช่วงต่อไป ระบบการเงินในอาเซียนจะมีการเปิดเสรีมากขึ้นภายใต้ AEC เงินนำส่งดังกล่าว จะเป็นอุปสรรค เป็นภาระสำคัญที่ทำให้สถาบันการเงินของไทยไม่สามารถแข่งขันได้เต็มที่ทั้งในประเทศ ในเวทีภูมิภาค และในเวทีโลก
นอกจากนั้น ยังจะทำให้สภาพการแข่งขันของระบบสถาบันการเงินในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์เอกชนและธนาคารเฉพาะกิจของรัฐจะมีความเหลื่อมล้ำได้เปรียบเสียเปรียบกันมากขึ้น เพิ่มความบิดเบือนในระบบ เนื่องจากปัจจุบันธนาคารเฉพาะกิจของรัฐไม่มีภาระต้องนำส่งเงินคุ้มครองเงินฝาก ทำให้มีความได้เปรียบ และสามารถเสนออัตราดอกเบี้ยเงินฝากในอัตราที่มากกว่าธนาคารพาณิชย์เอกชน ทำให้ฐานเงินฝากเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา และมีการอำนวยสินเชื่อที่มิใช่ภารกิจหลักของตนแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์อย่างไม่เป็นธรรม
"ความเหลื่อมล้ำและความบิดเบือนที่จะเพิ่มขึ้นนี้ จะสร้างความไม่เป็นธรรม บั่นทอน ทำลายการแข่งขันในระบบ และทำให้ระบบสถาบันการเงินไทยไม่สามารถสนับสนุนการพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มศักยภาพ ในระยะยาว"แถลงการณ์ ระบุ
แถลงการณ์ยังระบุว่า จากการหารือกับทางการสรุปสาระสำคัญได้ว่าวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก.ฉบับนี้ดังล่าวเพื่อแก้ไขหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 1.14 ล้านล้านบาทนั้น สมาคมฯ มีความเห็นว่าการแก้ไขหนี้ ซึ่งคั่งค้างมาเป็นเวลานานให้เกิดความชัดเจนเป็นสิ่งที่ดี และหนี้จำนวนนี้ควรถือเป็นภาระของประเทศที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความร่วมมือในการแก้ไข จึงจะสำเร็จลุล่วงไปได้ ธนาคารสมาชิกต่างก็มีความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งนี้จะต้องดำเนินการโดยคำนึงถึงเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และจะต้องดำเนินไปด้วยความเป็นธรรม
การที่ร่าง พ.ร.ก.กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์นำเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ รวมกับที่นำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ไม่เกินร้อยละ 1 ของยอดเงินฝาก โดยมิได้ระบุว่าจะมีแหล่งเงินอื่นใดเข้ามาร่วมรับผิดชอบด้วย แต่กำหนดให้ธนาคารต่างๆ รับภาระเพียงฝ่ายเดียว สมาคมฯ เห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 จำนวน 1.4 ล้านล้านบาทกับกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายของทางการในการบริหารจัดการเศรษฐกิจ
หากพิจารณาด้วยความเป็นธรรมจะเห็นว่า ธนาคารที่เปิดดำเนินการอยู่ในขณะนี้มิได้มีส่วนในการสร้างความเสียหายดังกล่าว แม้ว่าจะมีบางธนาคารได้รับความช่วยเหลือจากทางการในช่วงเวลานั้น แต่ในที่สุดแล้วทางการก็ได้รับชำระคืนในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งจากมูลค่าหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นจากการนำเงินส่งกองทุนฟื้นฟูฯ และสถาบันคุ้มครองเงินฝากมาโดยตลอด รวมทั้งภาษีเงินได้ นอกจากนี้ ธนาคารยังมีบทบาทสำคัญในการระดมเงินฝากและอำนวยสินเชื่อแก่ธุรกิจต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับคืนมาได้
สำหรับธนาคารส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดที่เปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ต่างก็แก้ไขปัญหาของตนเองโดยมิได้ขอรับความช่วยเหลือจากทางการ ทั้งโดยการเพิ่มทุนจากแหล่งเงินทุนต่างๆ โดยการขายทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อนำมาเพิ่มทุน หรือโดยการขายหุ้นให้แก่ผู้ลงทุนจากต่างประเทศ ธนาคารพาณิชย์มิได้มีส่วนร่วมในการสร้างความเสียหายดังกล่าวแต่อย่างใด
ดังนั้น การกำหนดให้มีการเรียกเก็บเงินนำส่งเพิ่มเติมจากธนาคารเพื่อนำไปชำระหนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า เนื่องจากธนาคารที่เปิดดำเนินการอยู่ในขณะนี้เป็นผู้ก่อหนี้ขึ้น หรือเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากหนี้ดังกล่าว จึงไม่เป็นความจริงและไม่ยุติธรรม
สมาคมฯ จึงเห็นว่าการทิ้งปัญหาหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ โดยมิได้มีการจัดการอย่างชัดเจน จะเป็นผลเสียต่อเสถียรภาพของระบบการเงินการคลังของประเทศ ดังนั้น จึงสนับสนุนให้มีการแก้ไขโดยเร็ว แต่การแก้ไขปัญหาหนี้เป็นจำนวนมากเช่นนี้ จะต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบและเป็นธรรมว่าจะมีแหล่งเงินใดบ้าง และจะแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบระหว่างภาคส่วนต่างๆ อย่างเป็นธรรมอย่างไร จึงจะเกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งนี้ สมาคมฯ ยินดีจะร่วมรับภาระกับภาคส่วนอื่นในการแก้ไขปัญหาหนี้ดังกล่าว