บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(CPF)เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในปี 55 เติบโตขึ้น 50-60% หลังจากมีการซื้อกิจการในต่างประเทศเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจอาหารในตลาดโลก ขณะที่ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้สูงถึง 1.2-1.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปกติที่เคยตั้งงบลงทุนปีละประมาณ 8 พันล้านยาท พร้อมกันนั้นยังจะพิจารณาซื้อกิจการด้านอาหารเพิ่มเติม โดยขณะนี้มีผู้ยื่นข้อเสนอเข้ามาหลายรายทั้งกิจการในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร CPF เชื่อว่า ยอดขายจะเติบโตขึ้นมาหลังจากบริษัทเข้าซื้อกิจการในประเทศจีนและเกษตรอุตสาหกรรมครบวงจรในประเทศเวียดนาม ทั้ง 2 กิจการเป็นธุรกิจที่ดีและมีกำไร ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของ CPF ใน 5 ปีข้างหน้าที่จะขับเคลื่อนได้เร็วกว่าปกติ
ทั้งนี้ CPF ให้ความสำคัญในการลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงการลงทุนในปะเทศจีนด้วย เนื่องจากประเทศกำลังพัฒนามีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งยอมรับว่าสนใจลงทุนในจีนเพิ่มเติมในกลุ่มอาหารปลอดภัย ค้าปลีกและซีพีเฟรชมาร์ท
"เรายังมองโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพราะจะทำให้เรามีศักยภาพในการเติบโตที่มากขึ้นนอกจากประเทศที่เราไปลงทุนแล้วเรามองว่าอินเดียและเวียดนามมีความน่าสนใจไม่แพ้กับจีน แต่ในการเลือกก็จะต้องดูและยังคงเน้นในธุรกิจ core business ของเราด้วย"นายอดิเรก กล่าว
นายอดิเรก กล่าวต่อว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปี 55 ที่ 1.2-1.5 หมื่นล้าน ถือว่าสูงกว่างบลงทุนปกติที่จะใช้เงินลงทุนเพียง 8 พันล้านบาท (ไม่รวมการซื้อธุรกิจใหม่) ขณะที่บริษัทยังมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้มีผู้ที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาแล้วประมาณ 5 รายทั้งกิจการในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้
"การตัดสินใจในการเข้าลงทุนกิจการคงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบโดยมีลักษณะที่ไม่แตกต่างจากธุรกิจเดิมและต้องคำนึงถึงผู้ถือหุ้นที่มีกว่า 3 หมื่นคนและมีกองทุนต่างประเทศถือกว่า 20% ดังนั้นต้องลงทุนในธุรกิจที่ก่อประโยชน์สูงสุด"นายอดิเรก กล่าว