นางสมฤดี ชัยมงคล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-การเงิน บมจ.บ้านปู(BANPU) คาดว่า รายได้ของบริษัทในปีนี้จะเติบโตได้ราว 15-20% จากปีก่อน หรือทำได้เกินกว่า 1 แสนล้านบาท จากปีที่แล้วทำได้ราว 1 แสนล้านบาทเศษ เนื่องจากปริมาณผลผลิตถ่านหินสูงขึ้น และราคาขายเฉลี่ยดีขึ้นกว่าปีก่อน
ในปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณขายถ่านหินเพิ่มเป็น 46 ล้านตัน ทั้งผลผลิตถ่านหินจากเหมืองในอินโดนีเซีย 27 ล้านตัน ออสเตรเลีย 16 ล้านตัน และจีน 3 ล้านตัน ขณะที่บริษัทได้ทำสัญญาขายล่วงหน้าถ่านหินของปีนี้ไปแล้วเกิน 40% ที่ราคาเกิน 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าราคาเฉลี่ยของปีก่อนที่อยู่ในระดับ 97 เหรียญสหรัฐ/ตัน และแนวโน้มราคาจากนี้ก็ยังน่าจะดีตามความต้องการถ่านหินทั้งในญี่ปุ่นและจีนที่มีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเหมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนที่มีการซื้อถ่านหินมากขึ้น
สำหรับกำไรจากการดำเนินงานในปีนี้น่าจะสูงกว่าปีก่อน แต่กำไรสุทธิอาจจะต่ำกว่า เนื่องจากในปี 54 บริษัทมีกำไรพิเศษจากการขายเหมืองต้าหนิง 6.3 พันล้านบาท และบริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทเป็นหลัก เพื่อลงทุนในออสเตรเลียและอินโดนีเซีย ส่วนโอกาสการลงทุนใหม่ยังไม่ได้รวมไว้ในงบลงทุนปีนี้
นางสมฤดี กล่าว่า บริษัทยังไม่มีแผนจะขายหุ้นเหมืองในจีนออกไปอีก หลังจากขายเหมืองต้าหนิงไปแล้ว โดยในปีนี้เหมืองเกาเหอจะเริ่มผลิตถ่านหินมาทดแทนเหมืองต้าหนิงที่บริษัทขายออกไป และจะเป็นหนึ่งในตัวหลักในการสร้างกระแสเงินสดในปีนี้ รวมทั้งจากธุรกิจโรงไฟฟ้าในจีนด้วย
"บริษัทจะเก็บสินทรัพย์ในจีนไว้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่มีแผนจะขายเพิ่มเติมอีก"นางสมฤดี กล่าว
ส่วนการมองหาโอกาสในการซื้อเหมืองเพิ่มนั้น ทีมงานพัฒนาธุรกิจกำลังพิจารณาอยู่ แต่จะซื้อได้เมื่อใดยังตอบไม่ได้ ขณะที่แผนงานหลักในปีนี้จะมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจที่มีอยู่ให้ดีขึ้นทั้งในอินโดนีเซียและออสเตรเลีย รวมทั้งในมองโกเลียที่ขณะนี้บริษัทได้ส่งทีมงานเข้าไปแล้ว คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยจะมีกำลังผลิตราว 3-5 ล้านตัน/ปี
นางสมฤดี กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและพิจารณาความเหมาะสมในการออกหุ้นกู้ 7 พันล้านบาทถึง 1 หมื่นล้านบาทในปีนี้ โดยอาจจะจำหน่ายในประเทศหรือต่างประเทศก็ได้ เพื่อทำให้ต้นทุนภาระดอกเบี้ยดีขึ้น โดยปีนี้บริษัทมีหนี้ที่ถึงกำหนดชำระ 4-5 พันล้านบาท