ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ไม่มีประกัน CK ที่ “BBB/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 20, 2012 16:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บมจ.ช. การช่าง(CK) ที่ระดับ “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทย ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับในโครงการก่อสร้างพื้นฐานและโครงการที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมทั้งความยืนหยุ่นทางการเงินจากมูลค่าเงินลงทุนเชิงกลยุทธ์ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากความผันผวนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ตลอดจนความเสี่ยงของสัญญาที่มีลักษณะต่อหน่วยแบบคงที่ (Fixed-price Contract) และภาระหนี้ที่สูงของบริษัท

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2555 ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถลดภาระหนี้และแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาโครงสร้างทางการเงินที่ดีขึ้นในระยะปานกลางต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากบริษัทยังคงลงทุนต่อเนื่องในโครงการไซยะบุรีโดยที่ยังไม่ได้รับผลตอบแทนที่จะลดสัดส่วนลูกหนี้ที่ยังไม่ได้เรียกชำระได้ หรือในกรณีที่บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเกินกว่า 2.5 เท่า

ทริสเรทติ้งรายงานว่า CK ก่อตั้งในปี 2515 โดยตระกูลตรีวิศวเวทย์ บริษัทเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่จำนวน 3 รายในตลาดหลักทรัพย์และมีประสบการณ์ด้านการก่อสร้างตั้งแต่งานโยธาโครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงโครงการที่มีความซับซ้อนสูง ประสบการณ์ที่หลากหลายดังกล่าวเมื่อรวมกับการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำจากต่างประเทศแล้วนับเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้แก่บริษัททั้งในด้านการประมูลงานและเทคโนโลยีในการก่อสร้าง

บริษัทมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน 3 ราย ได้แก่ บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ(BMCL) และ บมจ.น้ำประปาไทย (TTW) นอกจากนี้ บริษัทยังลงทุนในบริษัทอื่นอีกหลายรายที่ประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้าและมีโครงสร้างรายได้ที่แข็งแกร่งจากสัญญาขายไฟฟ้าให้แก่หน่วยงานภาครัฐ บริษัทได้รับเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอประมาณปีละ 550 ล้านบาทจากการลงทุนใน BECL และ TTW ซึ่งเงินลงทุนดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงจากลักษณะผันผวนของรายได้ที่มาจากธุรกิจก่อสร้างได้ อย่างไรก็ตาม การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ BMCL และแผนการลงทุนต่อเนื่องยังคงเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทในปัจจุบัน

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า คุณภาพงานรับเหมาก่อสร้างที่ยังไม่ส่งมอบของ CK ปรับตัวดีขึ้นโดยลำดับ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 บริษัทมีงานรับเหมาก่อสร้างที่ยังไม่ส่งมอบมูลค่า 30,809 ล้านบาท และในเดือนธันวาคม 2554 บริษัทได้ลงนามในสัญญาก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ โครงการในมือของบริษัทยังมีความหลากหลายมากขึ้น โดยโครงการที่มีมูลค่าสูงสุดคิดเป็นสัดส่วน 29% ของมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบทั้งหมด ทริสเรทติ้งคาดว่ามูลค่างานรับเหมาก่อสร้างที่ยังไม่ส่งมอบของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหากบริษัทได้รับงานโครงการเขื่อนไซยะบุรีในประเทศลาวซึ่งมีมูลค่า 7.6 หมื่นล้านบาท

ในระยะปานกลาง บริษัทมีแนวโน้มรายได้ที่ดีจากการมีมูลค่างานรับเหมาก่อสร้างที่ยังไม่ส่งมอบจำนวนมากและโครงการที่รอลงนามในสัญญา ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทน่าจะอยู่ระหว่าง 1.5-1.8 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2555-2557 อัตราส่วนกำไรก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทติดลบมาตั้งแต่ปี 2553 เนื่องจากการปรับเพิ่มต้นทุนโครงการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง บริษัทเชื่อว่าอัตราส่วนกำไรดังกล่าวจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในปี 2555 จากรายได้ที่จะมาจากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเป็นหลัก ซึ่งบริษัทได้ตกลงราคาวัสดุก่อสร้างหลัก ๆ ไว้แล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทน่าจะปรับตัวมาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 5% นับจากปี 2555 เป็นต้นไป

ทริสเรทติ้งกล่าวถึงภาระหนี้ของ CK ว่าอยู่ในระดับสูง โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 76.8% ซึ่งภาระหนี้ที่สูงดังกล่าวเป็นผลมาจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัทและการให้ความช่วยเหลือทางการเงินผ่านการให้กู้ยืมแก่ BMCL ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะปรับลดอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้ต่ำกว่า 70% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าได้ค่อนข้างยากเมื่อพิจารณาถึงแผนการลงทุนในอนาคตของบริษัท

บริษัทมีอัตราส่วนทางการเงินด้านสภาพคล่องที่อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงความยืดหยุ่นทางการเงินจากมูลค่าหลักทรัพย์ที่บริษัทถือครองจำนวนมาก ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 เงินลงทุนของบริษัทมีมูลค่ายุติธรรมที่ 9.7 พันล้านบาท หรือประมาณ 45% ของภาระหนี้รวมของบริษัทที่ 2.3 หมื่นล้านบาท บริษัทมีเงินสดในมือ 5.6 พันล้านบาท และมีภาระหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระใน 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 5 พันล้านบาท

ปัจจุบันทริสเรทติ้งกำลังติดตามความคืบหน้าของสถานะเงินทุนหมุนเวียนที่มีความตึงตัวมากขึ้นหลังจากบริษัทได้ลงทุนไปประมาณ 4 พันล้านบาทในโครงการไซยะบุรีโดยยังไม่ได้รับผลตอบแทนในสัดส่วนที่สอดคล้องกัน ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีลูกหนี้ที่ยังไม่ได้เรียกชำระปรับตัวสูงขึ้นจาก 3.8 พันล้านบาทในปี 2552 มาอยู่ที่ 7.9 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ