โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.กสิกรไทย ซื้อ 9.00-10.00 บล.ธนชาต ซื้อ 13.00 บล.เกียยรตินาคิน ซื้อ อยู่ระหว่างการปรับประมาณการ บล.ไอร่า ซื้อ 13.20
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ปีนี้ SAMART มีเป้าหมายกำไรทะลุ 1 พันล้านบาทจากการเปิดเผยของผู้บริหารนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าจะสามารถทำได้ โดยเป็นการเติบโตจากบริษัทลูกทั้ง บมจ.สามารถเทลคอม(SAMTEL)และ บมจ.สามารถ ไอ-โมบาย(SIM)
รวมทั้งบริษัทลูกที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ อาทิ one to one Contact Center, สามารถวิศวกรรม, บริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส ในกัมพูชาต่างมีผลการดำเนินงานที่ดีและมีโอกาสนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย หาก SAMART นำบริษัทใดบริษัทหนึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยิ่งส่งผลดต่อหุ้นบริษัทแม่ด้วย
ประเมินปัจจัยพื้นฐานราคาหุ้น SAMART ควรอยู่ที่ 9-10 บาท ที่ระดับ P/E 9-10 เท่า ซึ่งสอดคล้องระดับความสามารถในการทำกำไรด้วย หุ้น SAMART โดดเด่นเรื่องการจ่ายปันผลด้วย ประเมินว่าในปี 55 บริษัทจะจ่ายเงินปันผลที่ 0.50 บาทต่อหุ้นเป็นอัตราผลตอบแทนจากปันผลกว่า 6%
ด้านนักวิเคราะห์ บล.ธนชาต คงคำแนะนำ ซื้อหุ้น SAMART โดยมองว่าบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อกิจการ 2 บริษัท ทั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างสาธารณูปโภคและอีกบริษัทสาธารณูปโภค บริษัทใหม่ทั้งสองนี้จะช่วยผลักดันกำไรในอนาคต ซึ่ง SAMART คาดว่าดีลแรกจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นไตรมาส 1/55 แต่ดีลที่สองอาจใช้เวลาในการได้ข้อสรุปนานกว่า
ทั้งนี้ SAMART คาดจะใช้งบลงทุนราว 1 พันล้านบาทในดีลแรก เงินลงทุนจะมาจากทั้งกระแสเงินสดภายในและเงินกู้ เราคาดจากการลงทุนในดีลแรกจะทำให้อัตราส่วน D/E ของ SAMART เพิ่มขึ้นจาก 1.0 เท่า เป็น 1.1 เท่า ในปี 55
ด้านธุรกิจในต่างประเทศ SAMART มีความสนใจที่จะทำธุรกิจควบคุมการจราจรทางอากาศในประเทศลาวและพม่า แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา
สำหรับเป้าแผนธุรกิจปี 55 ของผู้บริหาร SAMART ประมาณการและสมมติฐานของเรามีความอนุรักษ์นิยมมากกว่า เราคาดโครงการใหม่ที่จะลงนามในสัญญาปีนี้อยู่ที่ระดับ 1.8 หมื่นล้านบาท และคาดมีกำไรสุทธิ 999 ล้านบาท
ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า อยู่ระหว่างการปรับประมาณการหลังผู้บริหารเปิดเผยว่าจะเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมและมีแนวโน้มที่จะลงทุนในธุรกิจแอร์ทราฟฟิก คอนโทรลเพิ่มเติมอีก 1-2 ประเทศ ซึ่งธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตและมีความเป็นไปได้
ธุรกิจบริการของบริษัทมีความโดดเด่นอยู่ แต่ยังกังวลในส่วนของ SAMTEL ที่เป็นบริษัทลูก แม้ว่ามีมูลค่างานคงค้างในมือสูงถึง 9 พันล้านบาท แต่การประมูลงานใหม่นั้นยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการเมือง โครงการที่มีโอกาสได้รับคือ ลงทุนโครงข่าย 3G เฟส 2 ของ TOT ที่ขยาย 7 พันสถานีฐาน มูลค่างานราว 1 หมื่นล้านบาท ซึ่ง SAMART ร่วมทุนกับ LOXLEY ส่วนโครงการ Next Generation Network หรือ NGN มูลค่างานกว่า 1.2 หมื่นล้านบาทยังคงติดอยู่ที่สภาพัฒน์คงต้องใช้เวลาและเบื้องต้นอาจถูกลดทอนงบเหลือ 1 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ในส่วนของ SIM ยังคงเน้นการขาย SMARTPHONE ราคาระดับปานกลาง ถือว่าการแข่งขันในตลาดค่อนข้างสูง ซึ่ง SAMART ยังหวังว่า SIM จะสร้างรายได้ต่อเนื่องจาก MVNO ของ TOT ซึ่งจะมีการทำ Full MVNO นั้น ยังมีความเสี่ยงเรื่องความล่าช้าของโครงการซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายรายได้ที่ 2.75 หมื่นล้านบาทได้ แต่ยังมีโอกาสในการลงทุนแต่อยู่ระหว่างการประเมินราคาเหมาะสม
ส่วนนักวิเคราะห์ บล.ไอร่า แนะนำซื้อทั้ง SAMART และ SAMTEL โดยราคาหุ้นทั้งสองปรับลงมาลึก และยังไม่ปรับสูงขึ้นสะท้อนผลประกอบการในปีนี้เท่าใดนัก รวมถึงประเด็นเรื่องการซื้อกิจการ โดยประเมินราคาหุ้นที่เหมาะสมของ SAMTEL และ SAMART ได้เท่ากับ 19.20 บาท และ 13.20 บาท และ มี Upside กว่า 55% และ 69% ตามลำดับ
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนขยายธุรกิจวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยการเข้าซื้อกิจการ คาดจะได้ข้อสรุปประมาณปลายไตรมาส 1/55 — ต้นไตรมาส 2/55 ซึ่งผลประโยชน์ที่ได้แม้จะไม่ทำให้ SAMTEL มีกำไรเพิ่มขึ้นมากนัก แต่คาดว่าจะช่วยหนุนการดำเนินธุรกิจของ SAMTEL โดยมีโอกาสได้งานจากภาครัฐฯ ในหน่วยงานอื่นๆ มากขึ้น
นอกจาก SAMTEL ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนหลักของผลประกอบการกลุ่ม SAMART แล้ว อีกบริษัทลูก คือ SIM คาดจะมีผลการดำเนินงานโดดเด่น หากเครือข่าย 3G ของ TOT เริ่มครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมากขึ้นจะส่งผลดีต่อจำนวน Subscriber ลูกค้า 3G MVNO ของ SIM และช่วยให้ธุรกิจนี้ของ SIM ถึงจุดคุ้มทุนได้ในปีนี้
ทั้งนี้ TOT มีแผน จัดสรรเลขหมายจำนวนกว่า 7 ล้านเลขหมาย สำหรับสถานีฐานทั้ง 5,000 แห่ง เพื่อบริการ 3G รูปแบบ MVNO ภายใน มี.ค.นี้ ซึ่ง SIM คาดว่าจะได้เป็นผู้ให้บริการ 3G MVNO รายใหญ่