ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (23 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขาย ก่อนที่จะทราบผลการเจรจาเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างรัฐบาลกรีซและกลุ่มเจ้าหนี้เอกชน และก่อนที่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งของสหรัฐ รวมถึงแอปเปิล อิงค์ จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ ข่าวที่ว่าสหภาพยุโรป (อียู) ได้ตัดสินใจคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านยังทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานพลังงานและทำให้ตลาดการเงินไร้เสถียรภาพ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 11.66 จุด หรือ 0.09% แตะที่ 12,708.82 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 0.62 จุด หรือ 0.05% แตะที่ 1,316.00 จุด ดัชนี Nasdaq ปิดลบ 2.53 จุด หรือ 0.09% แตะที่ 2,784.17 จุด
นักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการเจรจาเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างรัฐบาลกรีซและเจ้าหนี้เอกชน โดยรมว.คลังกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ได้จัดการประชุมที่กรุงบรัสเซลส์ เพื่อร่างแผนระยะยาวในการจัดการกับวิกฤตหนี้ยูโรโซน และจะพิจารณาเรื่องเงื่อนไขในการปรับโครงสร้างหนี้ของกรีซ หลังจากที่เจ้าหนี้ภาคเอกชนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับทางการกรีซในการเจรจาช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากข่าวอียูมีมติห้ามนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านเพื่อตอบโต้อิหร่านที่ดำเนินโครงการนิวเคลียร์ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานพลังงานและทำให้ตลาดการเงินไร้เสถียรภาพ
อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากบรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่า กรีซจะสามารถบรรลุข้อตกลงดังกล่าวร่วมกับเจ้าหนี้ได้ นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับข่าวรัฐบาลเยอรมนีประสบความสำเร็จในการประมูลขายพันธบัตรอายุ 12 เดือนเมื่อวานนี้ โดยมีต้นทุนการกู้ยืมโดยเฉลี่ยเพียง 0.07% ซึ่งน้อยกว่าการประมูลครั้งก่อนที่ระดับ 0.346% สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของเยอรมนี
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นเป็นส่วนใหญ่ โดยหุ้น Chesapeake Energy Corp ซึ่งเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐพุ่งขึ้น 6% หลังจากบริษัทเปิดเผยแผนลดการผลิตเพื่อรับมือกับราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่หุ้นเซาท์เวสเทิร์น เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 10% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในบรรดาหุ้นพลังงานที่คำนวณในดัชนี S&P 500 และหุ้น Cabot Oil & Gas Corp พุ่งขึ้น 6.5%
ส่วนหุ้น Apache Corp ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ ดีดตัวขึ้น 1.6% หลังจากบริษัทวางแผนซื้อกิจการบริษัท Cordillera Energy Partners มูลค่า 2.85 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการควบรวมกิจการที่มีมูลค่าสูงสุดในสหรัฐในปีนี้
อย่างไรก็ตาม หุ้นรีเสิร์ช อิน โมชัน (อาร์ไอเอ็ม) ซึ่งเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือแบล็คเบอร์รี่ ดิ่งลง 8.5% หลังจากอาร์ไอเอ็มประกาศว่า นายจิม บาลซิลลี และนายไมค์ ลาซาริดิส ซีอีโอร่วมของอาร์ไอเอ็ม ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว หลังจากที่ทำหน้าที่ผู้บริหารอาร์ไอเอ็มมานานถึง 20 ปี และไม่สามารถผลักดันให้อาร์ไอเอ็มต้านทานคู่แข่งรายใหญ่อย่างบริษัท แอปเปิล อิงค์ ได้
นักลงทุนจับตาดูการรายงานผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงแอปเปิล อิงค์ และยังจับตาดูการประชุมระยะเวลา 2 วันของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า เฟดอาจจะตรึงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำนานกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเปิดเผยยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย(pending home sales) เดือนธ.ค. วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนธ.ค. และยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค.
ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงขั้นต้นประจำไตรมาส 4/2554 และรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนม.ค.