ธนาคารเกียรตินาคิน(KK) ตั้งเป้าสินเชื่อรวมปี 55 เติบโต 21% จากปีก่อนที่ขยายตัวในระดับ 26.5% โดยมุ่งเน้นการขยายสินเชื่อรายย่อย 22% และสินเชื่อภาคธุรกิจ 19% ขณะที่ด้านเงินฝากจะเติบโต ราว 20% และคาดว่าจะขายสินทรัพย์รอการขาย(NPA)ราว 3.5 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยขายตั้งแต่ไตรมาส 2/55 เป็นต้นไป
นายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ KK กล่าวว่า จากผลกระทบน้ำท่วมส่งผลกระทบต่อลูกค้าสินเชื่อของธนาคารในสัดส่วน 9-11% ของสินเชื่อรวม โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ แต่หลังจากได้รับการผ่อนปรนหนี้และช่วยเหลือจากธนาคารจะกลับมาเป็นหนี้ปกติได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.5-3.7% จากสิ้นปี 54 อยู่ที่ 3.4%
สำหรับส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ(NIM)ในนี้คาดว่าจะทรงตัวในระดับเดียวกับปี 54 ที่ 4.3% ซึ่งยังไม่นับรวมการส่งเงินค่าธรรมเนียมเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝากเพิ่มที่จะส่งผลให้ NIM ลดลงแน่นอน โดยประเมินว่าหากมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 0.1% ของยอดเงินฝากจะทำให้ธนาคารมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 130-140 ล้านบาท และหากต้องมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในส่วนของตั๋วแลกเงิน(B/E)ด้วยก็ จะทำให้ต้นทุนของธนาคารเพิ่มอีก 0.07%
"ปัจจุบันสัดส่วนเงินฝากต่อบี/อีของแบงก์อยู่ที่ 50 ต่อ 50 หากต้องเก็บค่าธรรมเนียมบี/อี เราก็ไม่จำเป็นต้องให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝาก ที่ผ่านมาเราให้สูงกว่า 0.25% ทำให้แบงก์ประหยัดค่าใช้จ่าย 0.15% ขณะที่เงินฝากต้องนำส่ง 0.40%"นายธวัชชัย กล่าว
ทั้งนี้ หากทางการเก็บค่าธรรมเนียมรวมตั๋วบี/อีด้วย ธนาคารก็ไม่จำเป็นต้องออกตั๋วบี/อีอีก เพราะลูกค้าคงเลือกที่จะฝากเงินมากกว่า ดังนั้น พอร์ตตั๋วบี/อีที่ปัจจุบันมีอยู่ 50% สิ้นปีก็คงไม่มีเหลือแล้ว เพราะจากนี้ไปธนาคารจะไม่ระดมเงินด้วยตั๋วบี/อีเพิ่มเติมอีก ส่วนตั๋วบี/อีที่เหลือจะมีอายุสั้นแค่ 3 เดือน, 6 เดือน และ 9 เดือนก็จะทยอยครบกำหนดในที่สุด
อย่างไรก็ตาม นายธวัชชัย ยอมรับว่า การเก็บค่าธรรมเนียมนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากเพิ่มขึ้นจะกดดันผลกำไรของ KK รวมถึงธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งแน่นอน แต่ในส่วนของ KK เชื่อว่าคงไม่ทำให้ผลกำไรในปีนี้ลดลงจากปี 54 ที่มีกำไรประมาณ 2,859 ล้านบาท เนื่องจากสินเชื่อยังขยายตัวได้ดี
พร้อมกันนั้น ยังเรียกร้องให้รัฐบาลมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมส่งเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝากในส่วนของธนาคารรัฐเช่นเดียวกัน เพื่อให้การแข่งขันระดมเงินฝากระหว่างธนาคารพาณิชย์เอกชนและธนาคารรัฐมีต้นทุนที่เท่ากัน สร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน
"ก.ม.ให้บังคับใช้ก็ต้องปฎิบัติตาม แต่การระดมเงินฝากมีการแข่งขันทั้งระบบ ทั้งแบงก์เอกชน แบงก์รัฐ ซึ่งควรมีต้นทุนที่เท่ากัน โดยเฉพาะต้นทุนที่เรียกเก็บ แบงก์พาณิชย์ไม่มีข้อติดขัดในการช่วยเหลือลดภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ แต่ควรให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม อยากให้รัฐบาลพิจารณา...ที่แบงก์พาณิชย์ร้องว่าไม่เป็นธรรม เพราะมีการเรียกเก็บเงินเพิ่ม ที่ผ่านมาจัดเก็บ 0.40%ก็เยอะอยู่แล้ว และแบงก์รัฐก็มีการเติบโตค่อนข้างเร็ว ก็มีผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ"นายธวัชไชย กล่าว
นายธวัชชัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อร่วมกิจการกับ บมจ.ทุนภัทร (PHATRA) ด้วยการจัดตั้งกลุ่มการเงินเกียรตินาคิน-ภัทร ภายในไตรมาสแรกปีนี้ธนาคารจะจัดประชุมคณะกรรมการเพื่ออนุมัติเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรวมกิจการ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/55
KK มองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้การเติบโตในปีนี้ต่ำกว่าที่ทุกฝ่ายคาดไว้ โดยคาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะหดตัวอย่างน้อย 2 ไตรมาส และความเชื่อมั่นจะลดลง ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอการเติบโตลง ขณะที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง แต่การเรียกเก็บเงินนำส่งจากฐานเงินฝากและตั๋วแลกเงินของธนาคารพาณิชย์ที่จะเพิ่มขึ้นจะทำให้ต้นทุนเงินฝากและเงินกู้ยืมไม่ลดลง