นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บมจ. ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ (SITHAI) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 55 ที่ 7.8 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 6.69 พันล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ 6.7 พันล้านบาท
สำหรับในปี 55 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 1 พันล้านบาทในการลงทุนทุกหน่วยธุรกิจ แบ่งเป็น สินค้าเมลามีน 100 ล้านบาท สินค้าพลาสติก 500 - 600 ล้านบาท และส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในต่างประเทศ และในธุรกิจอื่น ๆ
ทั้งนี้บริษัทมีแผนในการลงทุนในประเทศเวียดนาม โดยจะมีการเพิ่มทุนในบริษัทลูก "ศรีไทยเวียดนาม" จำนวน 65 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียน 270 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตขวดและฝาน้ำดื่ม และน้ำอัดลม คาดใช้เงินลงทุน 300 ล้านบาท โดยได้มีการเซ็นสัญญากับบริษัทน้ำอัดลมขนาดใหญ่โลก แล้ว 3 ปี คาดสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/55 ซึ่งจะเพิ่มยอดขายเป็น 600 ล้านบาท/ปี จาก 350 ล้านบาท/ ปี โดยจะมีรับรู้ในปีนี้ 200 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาการขยายโรงงานเมลามีนที่เวียดนาม โดยการเพิ่มเครื่องจักรเป็น 40 เครื่องจากปัจจุบัน 20 เครื่องอีกด้วย
ส่วนแผนการลงทุนในประเทศอินเดียนั้น นายสนั่น กล่าวว่า บริษัทได้ชะลอการลงทุนไว้ก่อน เนื่องจากรอความชัดเจนในเรื่องภาษีการนำเข้าเมลามีน จึงทำให้ชะลอการสร้างโรงงานเมลามีนออกไปก่อน แต่บริษัทยังมีการศึกษาการลงทุนในประเทศพม่าเพราะแรงงานถูก
ด้านการลงทุนในประเทศ โรงงานเมลามีนของบริษัทลูกโคราชไฮเทค จะเริ่มมีการส่งสินค้าในเดือนม.ค 55 และคาดว่าจะส่งออกปีละ 450 ล้านบาท/ ปี โดยลูกค้าหลัก ยุโรป-สหรัฐ
นายสนั่น กล่าวต่อว่า บริษัทมีแผนปรับขึ้นราคาเมลามีน 10% ในเดือน เม.ย 55 ส่วนสินค้าพลาสติกอยู่ระหว่างพิจารณา เนื่องจากวัตถุดิบเม็ดพลาสติกจะปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน
ส่วนธุรกิจขายตรง เอสเนเจอร์ คาดว่าในปี 55 จะมียอดขาย 460 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 353 ล้านบาทในปีก่อน โดยได้เพิ่มอีก 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ การเกษตร และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม อีกทั้งได้ขยายสาขาเพิ่มในประเทศ 2 สาขา จากปัจุบัน 15 สาขา ส่วนในต่างประเทศเป็นลักษณะร่วมทุนใน 2 ประเทศ พม่า และลาว และจะเพิ่มอีก 2 ประเทศ ได้แก่กัมพูชา และอินโดนีเซีย และจะมีการขยายเพิ่มในประเทศจีน ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา
อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนหยุดการผลิตชิ้นส่วนประกอบรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในปี 56 เนื่องจากมีปัญหาในเรื่องการขาดแคลนแรงงาน และต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้ไม่คุ้มการลงทุน ทำให้บริษัทหันไปโฟกัสสินค้าบรรจุภัณฑ์ ทั้งอาหาร และเครื่องดื่ม ซึ่งคาดเติบโตไม่น้อยกว่า 15%