โบรกเกอร์ส่วนใหญ่เชียร์"ซื้อ"หุ้น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY)มองปี 55 เห็นการขยายตัวตามสินเชื่อที่ปีนี้คาดว่าจะเติบโตในช่วง 11-11.8% ต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่มีการเติบโตของสินเชื่อ 13% โดย BAY ยังคงเน้นลูกค้ารายย่อย(retail)และ SME ขนาดเล็ก ทำให้ NIM ทรงตัว คาดรายได้จากค่าธรรมเนียมขยายตัวต่อเนื่อง
นอกจากนั้น คาดว่าปีนี้ BAY คงจะตั้งสำรองฯที่ลดลงจากปีก่อน) และยังได้รับประโยชน์จากภาษีนิติบุคคลที่ลดลง สิ่งเหล่านี้จะช่วยหนุนผลประกอบการปีนี้ พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 55 ในช่วง 10.54-14.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 9.26 ล้านบาท ทั้งนี้ ในปีที่แล้ว BAY มีค่าใช้จ่ายพิเศษ 4 พันล้านบาท จากภาษีฯ และเงินช่วยเหลือน้ำท่วม ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษนี้
ส่วนกรณีที่ BAY ซื้อพอร์ตสินเชื่อของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้(HSBC)ถือเป็นข่าวดีสำหรับ BAY โดยการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขนาดของสินทรัพย์และสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยที่จะช่วยผลักดันการขยายตัวของสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น, เพิ่มรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ, เพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม และเพิ่มกำไรสุทธิ โดยการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้จะช่วยเร่งให้ ROE สูงขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ BAY ตั้งไว้คือขึ้นเป็น Top 3 ของธนาคารไทยในแง่ของ ROE
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) Outperform 28.97 บล.บัวหลวง ซื้อ 28.50 บล.โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 28.00 บล.ฟินันเซียไซรัส ซื้อ 27.00 บล.กสิกรไทย ซื้อ 26.00 บล.ทรีนีตี้ ซื้อ 25.00 บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ซื้อ 24.75 บล.เคทีบี(ประเทศไทย) ซื้อ 24.00 บล.ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ถือ 23.50 บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ถือ 22.00
น.ส.ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า ปีนี้(2555)BAY น่าจะเห็นการขยายตัวได้เรื่อย ๆ จากตามการขยายตัวของสินเชื่อที่ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 11% ต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่มีการเติบโตของสินเชื่อ 13% โดย BAY ยังคงเน้นลูกค้ารายย่อย(retail)และ SME ขนาดเล็ก ซึ่งตรงนี้ทำให้ NIM สามารถทรงตัวได้ โดยคาดว่า NIM ปีนี้จะอยู่ที่ 4.4% ขณะที่ปีที่แล้วอยู่ที่ 4.5% ส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียมก็คาดว่าจะมีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ปีนี้ยังมองว่า BAY คงจะมีการตั้งสำรองฯลดลงจากปีก่อน โดยคาดว่าปีนี้ตั้งสำรองฯเฉลี่ย 140 Basic Points ขณะที่ปีที่แล้วมีการตั้งสำรองฯเฉลี่ย 170 Basic Points อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากภาษีนิติบุคคลที่ลดลงเหลือ 23% จากเดิม 30% สิ่งเหล่านี้น่าจะทำให้ผลประกอบการของ BAY เติบโตได้ดีในปีนี้
ทั้งนี้ BAY ซื้อพอร์ตสินเชื่อของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้(HSBC)ถือเป็นข่าวดีสำหรับ BAY มาก เพราะขนาดของพอร์ตสินเชื่อของ HSBC ถือว่าใช้ได้ แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ได้มีคิดรวมอยู่ในประมาณการของ BAY โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 55 ของ BAY ไว้ที่ 10.54 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 9.26 ล้านบาท
ด้านนายสุวัฒน์ บำรุงชาติอุดม ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง(BLS)กล่าวว่า BAY น่าจะมีการขยายตัวสินเชื่อที่ดีมาก โดยคาดว่าสินเชื่อจะโต 11% ในปีนี้ ต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่สินเชื่อเติบโต 20%
ทั้งนี้ ในปี 54 มีค่าใช้จ่ายพิเศษ 4 พันล้านบาท จากภาษี 2,100 ล้านบาท และเงินช่วยเหลือน้ำท่วมอีก 1,300 ล้านบาท ซึ่งปีนี้คาดว่าจะไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษนี้ ดังนั้น จึงคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ไว้ที่ 13.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 9.6 พันล้านบาท
ส่วน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ถือ"หุ้น BAY ให้ราคาเป้าหมายที่ 22 บาท ตามที่ BAY ประกาศเข้าซื้อกิจธุรกิจลูกค้ารายย่อยในประเทศ จาก HSBC Thailand ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต, สินเชื่อส่วนบุคคล, สินเชื่อบ้าน, และธุรกิจเงินฝากและตั๋วแลกเงิน ด้วยมูลค่าการลงทุน 3,557 ล้านบาท โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1Q55 นี้
การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขนาดของสินทรัพย์ของ BAY ขึ้นประมาณ 1.75 หมื่นล้านบาท หรือ 1.8% และช่วยเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยของ BAY ขึ้นจาก 45% เป็น 46% ซึ่ง ณ สิ้นปี 2554 HSBC Thailand มีสินทรัพย์อยู่ 13,427 ล้านบาท และหนี้สิน 17,452 ล้านบาท ในกรณีที่สินทรัพย์มีมูลค่าน้อยกว่าหนี้สิน ณ วันเข้าทำรายการ ทาง HSBC จะเพิ่มเงินสดให้ เพื่อให้มูลค่าสินทรัพย์เท่ากับหนี้สิน
จากการประเมินของเราโดยรวมผลประโยชน์เพิ่มเติมจากการรวมกิจการ (Synergy) ที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าซื้อธุรกิจสินเชื่อรายย่อยจาก HSBC จะช่วยผลักดันการขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้นจาก 9.8% เป็น 11.8%, เพิ่มรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net-interest income)0.9%, เพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม 1.8%, และเพิ่มกำไรสุทธิขึ้น 0.9% จากประมาณการเดิม ซึ่งถือว่าไม่มีนัยสำคัญ โดยการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้จะช่วยเร่งให้ ROE สูงขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ BAY ตั้งไว้คือขึ้นเป็น Top 3 ของธนาคารไทยในแง่ของ ROE เนื่องจากการเติบโตเพียง Organic growth ไม่เพียงพอ
พร้อมคาดกำไรสุทธิของ BAY ในปี 55 ที่ 1.43 หมื่นล้านบาท (เพิ่มจากเดิมที่ 1.42 หมื่นล้านบาท เล็กน้อย) หรือเติบโต 55%yoy แต่หากพิจารณาจากกำไรปกติคาดเติบโต 16%yoy (เนื่องจาก BAY มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษเป็นจำนวนมากในปี 2554)
อย่างไรก็ตาม ประมาณการยังคงมีความเสี่ยงจากประเด็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมเพื่อชำระหนี้และดอกเบี้ย FIDF จากสมมติฐานที่เก็บค่าธรรมเนียมจากเงินฝากเพิ่มเป็น 0.6% และเก็บจาก B/E เพิ่ม 0.35% คาดจะส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2555 ระดับ 11.7% สูงกว่าผลกระทบเฉลี่ยของกลุ่มที่ 11.4% เล็กน้อย ซึ่งยังไม่ได้รวมเข้าในประมาณการของเรา เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว